วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2554

อำนาจกรรม kamma power

อำนาจกรรม “ ที่ทำด้วยความประมาท และความโลภ”

ในกาลครั้งหนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้ มีเจ้าคณะจังหวัดรูปหนึ่ง ในจังหวัดภาคเหนือ เป็นที่เคารพของพุทธศาสนิกชนเป็นอันมาก มีอำนาจเหนือหมู่สงฆ์ในภาคนั้น


อยู่มาวันหนึ่ง เจดีย์ประจำจังหวัดบรรจุพระบรมธาตุมาแต่โบราณชำรุดมาก จึงได้ให้ช่างรื้อยอดพระเจดีย์ ปรากฏว่ายอดนั้นหุ้มด้วยทองคำแผ่น เป็นทองดีมาก เมื่อนำลงมาแล้ว ได้ตกลงกับช่างจะนำขึ้นไปบุทองเช่นเดิม เมื่อซ่อมปูนเสร็จแล้ว


ภายหลังเกิดความโลภในทองขึ้นมา เมื่อซ่อมปูนเสร็จแล้ว จึงใช้ทองแปลวขึ้นไปปิดที่ยอดแทนทองคำเดิม ดูประหนึ่งว่านำไปปิดเช่นเดิม นำทองแท้ไปจำหน่ายได้เงินมาเป็นของตน แบ่งให้ช่างไปบ้าง ปกปิดความาไว้แต่ผู้เดียว


เมื่อมีเงินมาก ด้วยความโลภจึงลาสิกขา แล้วนำเงินที่ได้มาจากการลอกทองจากยอดพระเจดีย์คู่บ้านคู่เมือง ไปประกอบอาชีพ


ด้วยความมั่งมีเงิน จึงได้ขอแต่งงานกับหญิงคนหนึ่งในหมู่บ้านนั้น เธอก็ยินยอมพร้อมใจทั้งมารดา บิดา อยู่ไม่นาน เธอก็ได้กำเนิดบุตรคนหนึ่ง


เป็นทีน่าอัศจรรย์ บุตรของเธอ เมื่อคลอดออกมาแล้ว ไม่มีหนังหุ้มตัวเลย กลายเป็นชิ้นเนื้อแดง เต็มไปด้วยเลือดสดๆ ไหลทั่วตัว ในที่สุดเด็กก็ตาย เป็นที่โจทย์ขานกันในหมู่บ้าน ว่าทำไมเป็นเหตุวิปริตเช่นนั้น ต่างวิภพากวิจารณ์กันไปทั่ว


ส่วนบิดาของเด็กนั้น ในขณะนอนหลับ ภรรยาตื่นมาเห็นประหนึ่งคนร่างใหญ่นอนขวางห้อง เหมือนเปรตวิกลจริตเช่นนั้น จนเป็นทีหวาดกลัว ในที่สุดก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ ฟ้องหย่ากันกลายเป็นคนตกยาก ทรัพย์ที่ได้มาก็หมดไป ต้องเทียวขอเขากิน โรคภัยเข้ารุมเร้าจนเป็นคนพิการ สุดท้ายเขาเป็นโรคผิวหนังเป็นผื่นคัน เป็นขุยตามตัว จนดูน่าทุเรศ ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ แขนขายึดงอไปทั้งตัว ตายอย่างน่าเวทนาที่สุด ชาวบ้านช่วยกันจัดการเผาศพให้ด้วยเห็นว่าเคนได้ทำดีไว้บ้าง


เรื่องนี้แสดงถึงอำนาจกรรม แสดงอำนาจให้ประจักษ์ในปัจจุบัน ก่อนถึงภพหน้า ชาติหน้า แม้มีอำนาจสูงศักดิ์ ดูจะไม่มีใครจะมาต่อสู้กับคนได้ก็จริง


แต่อำนาจภายใน คือความโลภนั้น ทำลายสภาพแห่งความเจริญงอกงามของจิต ให้ตกต่ำในเวลามีชีวิต ในตัวเองอย่างรุนแรงแล้ว แสดงผลเป็นความเสื่อมโทรมของร่างกายให้ปรากฏทุกขเวทนา เผ็ดร้อนสาหัส สมแก่กรรมที่ตนได้ทำไว้


ดังตัวอย่างอดีตเจ้าคณะจังหวัดท่านนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง แต่ได้สงวนนามท่านไว้ ท่านอยู่ในจังหวัดภาคนั้นทราบกันดี


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสวา “ กรรมย่อมจำแนกสัตว์ ให้เลว ดี ต่างกัน กับคนชั่วยังเห็นเป็นดีอยู่ ตราบเท่าที่ความชั่วยังไม่ให้ผล เมื่อใดความชั่วให้ผล เมื่อนั้น คนชั่วย่อมเห็นความชั่ว คนดี ยังเห็นเป็นชั่วอยู่ ตราบเวลาที่ความดียังไม่ให้ผล เมื่อใดความดีให้ผล เมื่อนั้น คนดีย่อมเห็นความดี”


บุคคลไม่ได้เป็นด้วยคนดี เพราะชาติกำหนด หากเป็นเพราะการกระทำ( กรรม) บุคคลเป็นชาวนา เป็นนักศิลปะ เป็นพ่อค้า เป็นคนรับใช้ เป็นโจร เป็นตำรวจ เป็นทหาร เป็นพระภิกษุ เป็นพระมหากษัตริย์ ก็เพราะการกระทำ


โลกเป็นไปเพราะกรรม หมู่สัตว์ เป็นไปเพราะกรรม สัตว์ทั้งหลายผูกพันอยู่ที่กรรม ประดุจลิ่มสลัก เป็นเครื่องยึดที่แล่นไปอยู่ฉะนั้น


สรุปแล้วลงความได้ว่า มนุษย์ทั้งหลายที่เกิดมาในโลกนี้ เพราะกรรมเก่าปรุงแต่งให้เกิดมา ความเป็นไปในวิถีชีวิต



ไม่มีความคิดเห็น: