เห็นผิดจากสัจธรรม
โดย สมลักษณ์ วันโย
บึงสังข์แหล่งน้ำขนาดใหญ่ทีมีมาแต่โบราณกาลไม่เคยมีการเหือดแห้งเลยชั่วนาตาปี อุดมไปด้วยพืชพันธ์ธัญญาหาร มีต้นยางใหญ่อยู่ด้านทิศตะวันออกของบึง เหล่าสกุณาน้อยใหญ่ก็พากันมาอาศัยนับไม่ถ้วน ที่เห็นมากกว่าเหล่าอื่นเห็นจะได้แก่ “ อีแร้ง” ฝูงใหญ่ที่มาเกาะอาศัยอยู่ยอดยางใหญ่ มีอยู่หลายๆ ต้น สูงเสียดฟ้า
เวลาอีแร้งออกหากินหรือแม้แต่ยามกลับสู่รังบนต้นยางใหญ่ ปีกอันกว้างใหญ่ที่กระทบเสียดสีกับอาอากาศดังประดุจเครื่องบินเจ็ทขนาดใหญ่ทีเดียว เวลาใดที่มีหมาตาย หรือควายตายก็ตาม ผู้คนสมัยนั้นก็มักจะเอาไปทิ้งไว้ตามท้องทุ่ง เหล่าเทศบาลใหญ่ก็ถลาลงจากฟ้า เป็นฝูงๆ มีประเภทคอเทา คอแดง คอเหลืองบ้างก็มี พากันมาจัดการชำระซากสัตว์เหล่านั้นจนหมดสิ้นภายในเวลาอันไม่นานเลย
แต่น่าเสียดาย ในสมัยปัจจุบัน ผู้คนก็กินวัวควายจนหมดไม่เหลือไว้ให้พวกอี้แร้งเหล่านี้เลย เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ก็พากันบินจากแดนไทย มุ่งตะวันตก สู่กรุงพาราณสีแดนภารตะกันไกลโพ้น เพื่อแสวงหาอาหารที่ยังอุดมสมบูรณ์อยู่ ณ ริมฝั่งแม่น้ำคงคา
ทุกๆ วันจะมีผู้คนนำเอาศพคนตาย มัดใส่บันใดไม้ไผ่ผ้าคลุมแล้วก็หามไปยังฝั่งแม่นำคงคา ขณะทีหามไปก็สวดไปด้วยว่า
“ ราม ราม สัตตะแฮะ” ว่าไปเรื่อยๆ ไม่มีหยุดจนกว่าจะถึงสถานที่เผาศพริมฝั่งคงคา
การเผาก็ไม่ได้เผาให้ไหม้ เพียงแต่ยกขึ้นสู่ไฟ พอทำเป็นพิธีว่าไฟได้ไหม้แล้วก็โยนลงสู่แม่น้ำคงคาไหลสู่คุ้งตรงข้าม มีเหล่าอีแร้งเป็นล้านๆ ตัวรอคอยอยู่ด้วยความยินดี เพราะเหตุที่น้ำคงคาหน้าเมืองพาราณสีเป็นคุ้ง น้ำจึงไหลเวียนวน
แม้ว่าแม่น้ำคงจะจะเต็มไปด้วยซากศพที่ถูกทิ้งลงไปทุกๆ วันมิได้ขาด แต่ความที่คงคงไหลมาจากสวรรค์แดนหิมพานต์อันไกลโพ้น หิมะที่ละลายลงสู่สระอโนดาต แล้วล้นไหลลงสู่ดินแดนมนุษย์มิขาดสายนอกจากจะหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนและสัตว์ให้ดำรงอยู่ได้แล้ว ก็ยังชำระบาปกรรม อันมนุษย์ที่เน่าเหม็นให้สะอาดได้ เพราะเหตุที่คงคงไม่เคยหยุดไหลนี่เอง จึงมีประเพนีการอาบน้ำในแม้น้ำคงคงมีอยู่ไม่เว้นวายเลยทีเดียว
เพราะมนุษย์เป็นผู้ไม่สะอาดนี่เอง ในคัมภีร์พราหมณ์จึงบัญญัติให้ต้องอาบน้ำ เพื่อชำระบาป บาปก็คือความสกปรกโสมมที่หมักหมมอยู่ในกายนั้นเอง เพราะเหตุนี้เอง ในทางพระพุทธศาสนาจึงสอนให้พิจารณากายให้เห็นเป็นของไม่สะอาดมีประการต่างๆ คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยือในกระดูก ม้าม ตับ หัวใจ ปอด อาหารเก่า (ขี้) อาหารใหม่ น้ำดี น้ำเสลด น้ำเลือด น้ำเหลือง เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูตร เป็นต้น
แม้กายนี้จะเต็มไปด้วยของไม่สะอาดแท้จริงเพียงใดก็ตาม แต่มนุษย์เราส่วนมากก็ยังหลงติดยึดว่า กายนี้สวยงาม มีประการต่างๆ เช่น ผมงาม ขนงาม เล็บงาม ฟันงาม หนังงาม เป็นต้น ก็หลงกันว่า หนังสาวคนนี้งาม ไปประกวดแข่งหนังกันว่าหนังใครจะงามกว่ากันเป็นต้น แต่เวลาหนังที่มีเหงื่อออกมา หากไม่ได้อาบน้ำชำระก็มีกลิ่นเน่าเหม็นตึตัง ไม่อยากเข้าใกล้เลย ตนเองก็เหม็นตนเอง คนอื่นก็เหม็นอยากจะหลีหนีให้ห่างไกล แม้จะเป็นถึงเพียงนี้ ผู้คนก็ยังแก่งแย่งหนังที่เหม็นๆ นี่ ต้องเข่นฆ่าทำลายล้างแย่งกันเป็นเจ้าของหนังที่เหม็นเน่าอันนี้มีข่าวให้รู้ได้เห็นอยู่ไม่เว้นแต่ละวันเลยทีเดียว
การทีเราทั้งหลายเห็นว่าหนังเป็นของสวยงาม แต่พระพุทธองค์ตรัสว่าเป็นวิปลาส คือ คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ของจริงมันไม่สวยและเหม็น แต่เราเห็นว่ามันสวย และไม่เหม็น ถึงเหม็นก็ของมาแก้เอา เช่นน้ำหอมเป็นต้น แล้วก็ว่านี่เห็นไหมไม่เหม็นแล้ว เป็นต้น แต่ความจริงแล้วมันเหม็นอยู่นั่นเอง นี่คือความวิปลาสของพวกเราทั้งหลาย ที่เห็นผิดจากสัจจธรรม
จบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น