วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

มหาสติปัฏฐานสูตร 3 อายะตะนะปัพพัง


3 อายะตะนะปัพพัง                                         ข้อกำหนดด้วยอายตนะ
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ                             ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออีนยังมีอยู่อีก ภิกษุ
ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ                          ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ อายตนะภายใน
ฉะสุ อัชฌัตติกะพาหิเรสุ อายะตะเนสุ              และอายตนะภายนอก ( อย่างละ )
กะถัญจะ ภิกขะเว  ภิกขุ                                   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ก็อย่างไรภิกษุย่อมพิจารณาเห็น
ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ                          ธรรมในธรรม คือ อายตนะภายใน
ฉะสุ อัชฌัตติกะพาหิเรสุ อายะตะเนสุ              และอายตนะภายนอก
อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ                                            ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
1จักขุญจะ ปะชานาติ                                       ย่อมรู้จักตาด้วย
รูเป จะ ปะชานาติ                                            ย่อมรู้จักรูปด้วย
ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ                              อนึ่ง สังโยชน์(เครื่องผูก)
อุปปัชชะติ สัญโญชะนัง                                  ย่อมเกิดขึ้น อาศัยตาและรูป
ตัญจะ ปะชานาติ                                             ทั้ง นั้นอันใด ย่อมรู้จักอันนั้นด้วย
ยะถาจะ อะนุปปันนัสสะ สัญโญชนัสสะ          อนึ่ง ความที่สังโยชน์อันยังไม่เกิดขึ้น
อุปปาโท โหติ                                                   ย่อมเกิดขึ้นได้ด้วยประการใด ย่อม
ตัญจะ ปะชานาติ                                             รู้ประการนั้นด้วย
ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สัญโญชนัสสะ             อนึ่ง ความที่ละสังโยชน์ ที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้
ปะหานัง โหติ                                                  ด้วยประการใด
ตัญจะ ปะชานาติ                                             ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย
ยะถา จะ ปะหีนัสสะ สัญโญชนัสสะ                อนึ่ง ความที่สังโยชน์อันตนละเสียแล้ว
อายะติง อนุปปาโท โหติ                                  ย่อมไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ด้วยประการใด
ตัญจะ ปะชานาติ                                             ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย
2 โสตัญ จะ ปะชานาติ                                     ย่อมรู้จักหูด้วย
สัทเทจะ ปะชานาติ                                          ย่อมรู้จักเสียงด้วย
ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ                              อนึ่ง สังโยชน์ผเครื่องผูก)
อุปปัชชะติ สัญโญชะนัง                                  ย่อมเกิดขึ้น อาศัยหูและเสียง
ตัญจะ ปะชานาติ                                             ทั้ง นั้นอันใด ย่อมรู้จักอันนั้นด้วย
ยะถาจะ อะนุปปันนัสสะ สัญโญชนัสสะ          อนึ่ง ความที่สังโยชน์อันยังไม่เกิดขึ้น
อุปปาโท โหติ                                                   ย่อมเกิดขึ้นได้ด้วยประการใด
ตัญจะ ปะชานาติ                                             ย่อมรู้ประการนั้นด้วย
ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สัญโญชนัสสะ                         อนึ่ง ความที่ละสังโยชน์ ที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้
ปะหานัง โหติ                                                  ด้วยประการใด
ตัญจะ ปะชานาติ                                             ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย
ยะถา จะ ปะหีนัสสะ สัญโญชนัสสะ                อนึ่ง ความที่สังโยชน์อันตนละเสียแล้ว
อายะติง อนุปปาโท โหติ                                  ย่อมไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ด้วยประการใด
ตัญจะ ปะชานาติ                                             ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย
ฆานัญ จะ ปะชานาติ                                   ย่อมรู้จักจมูกด้วย
คันเธ จะ ปะชานาติ                                         ย่อมรู้จักกลิ่นด้วย
ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ                              อนึ่ง สังโยชน์(เครื่องผูก) ย่อมเกิดขึ้น
อุปปัชชะติ สัญโญชะนัง                                  อาศัยจมูกและกลิ่นทั้ง นั้นอันใด
ตัญจะ ปะชานาติ                                             ย่อมรู้จักอันนั้นด้วย
ยะถาจะ อะนุปปันนัสสะ สัญโญชนัสสะ          อนึ่ง ความที่สังโยชน์อันยังไม่เกิดขึ้น
อุปปาโท โหติ                                                   ย่อมเกิดขึ้นได้ด้วยประการใด
ตัญจะ ปะชานาติ                                             ย่อมรู้ประการนั้นด้วย
ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สัญโญชนัสสะ             อนึ่ง ความที่ละสังโยชน์ ที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้
ปะหานัง โหติ                                                  ด้วยประการใด
ตัญจะ ปะชานาติ                                             ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย
ยะถา จะ ปะหีนัสสะ สัญโญชนัสสะ                อนึ่ง ความที่สังโยชน์อันตนละเสียแล้ว
อายะติง อนุปปาโท โหติ                                  ย่อมไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ด้วยประการใด
ตัญจะ ปะชานาติ                                             ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย
4 ชิวหัญ จะ ปะชานาติ                                                ย่อมรู้จักลิ้นด้วย
ระเส จะ ปาชานาติ                                           ย่อมรู้จักรสด้วย
ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ                              อนึ่ง สังโยชน์(เครื่องผูก) ย่อมเกิดขึ้น อาศัยลิ้นและ
อุปปัชชะติ สัญโญชะนัง                                  รสทั้ง นั้นอันใด
ตัญจะ ปะชานาติ                                             ย่อมรู้จักอันนั้นด้วย
ยะถาจะ อะนุปปันนัสสะ สัญโญชนัสสะ          อนึ่ง ความที่สังโยชน์อันยังไม่เกิดขึ้น
อุปปาโท โหติ                                                   ย่อมเกิดขึ้นได้
ตัญจะ ปะชานาติ                                             ด้วยประการใด ย่อมรู้ประการนั้นด้วย
ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สัญโญชนัสสะ             อนึ่ง ความที่ละสังโยชน์
ปะหานัง โหติ                                                  ที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ด้วยประการใด
ตัญจะ ปะชานาติ                                             ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย
ยะถา จะ ปะหีนัสสะ สัญโญชนัสสะ                อนึ่ง ความที่สังโยชน์อันตนละเสียแล้ว
อายะติง อนุปปาโท โหติ                                  ย่อมไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ด้วยประการใด
ตัญจะ ปะชานาติ                                             ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย
กายัญจะ ปะชานาติ                                     ย่อมรู้จักกายด้วย
โผฏฐัพเพ จะ ปะชานาติ                                  ย่อมรู้จักโผฏฐัพพะ(สิ่งที่พึงถูกต้องด้วยกาย) ด้วย
ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ                              อนึ่ง สังโยชน์ผเครื่องผูก) ย่อสเกิดขึ้น
อุปปัชชะติ สัญโญชะนัง                                  อาศัยกายและโผฏฐัพพะทั้ง นั้นอันใด
ตัญจะ ปะชานาติ                                             ย่อมรู้จักอันนั้นด้วย
ยะถาจะ อะนุปปันนัสสะ สัญโญชนัสสะ          อนึ่ง ความที่สังโยชน์อันยังไม่เกิดขึ้น
อุปปาโท โหติ                                                   ย่อมเกิดขึ้นได้
ตัญจะ ปะชานาติ                                             ด้วยประการใด ย่อมรู้ประการนั้นด้วย
ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สัญโญชนัสสะ                         อนึ่ง ความที่ละสังโยชน์
ปะหานัง โหติ                                                  ที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้
ตัญจะ ปะชานาติ                                             ด้วยประการใด ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย
ยะถา จะ ปะหีนัสสะ สัญโญชนัสสะ                อนึ่ง ความที่สังโยชน์อันตนละเสียแล้ว
อายะติง อนุปปาโท โหติ                                  ย่อมไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ด้วยประการใด
ตัญจะ ปะชานาติ                                             ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย
มะนัญจะ ปะชานาติ                                                ย่อมรู้จักใจด้วย
ธัมเมจะ ปะชานาติ                                           ย่อมรู้จักธรรมารมณ์(สิ่งพึงรู้ได้ด้วยใจ) ด้วย
ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ                              อนึ่ง สังโยชน์ผเครื่องผูก) ย่อมเกิดขึ้น
อุปปัชชะติ สัญโญชะนัง                                  อาศัยใจและธรรมารมณ์ทั้ง นั้นอันใด
ตัญจะ ปะชานาติ                                             ย่อมรู้จักอันนั้นด้วย
ยะถาจะ อะนุปปันนัสสะ สัญโญชนัสสะ          อนึ่ง ความที่สังโยชน์อันยังไม่เกิดขึ้น
อุปปาโท โหติ                                                   ย่อมเกิดขึ้นได้
ตัญจะ ปะชานาติ                                             ด้วยประการใด ย่อมรู้ประการนั้นด้วย
ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สัญโญชนัสสะ                         อนึ่ง ความที่ละสังโยชน์
ปะหานัง โหติ                                                  ที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ด้วยประการใด
ตัญจะ ปะชานาติ                                             ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย
ยะถา จะ ปะหีนัสสะ สัญโญชนัสสะ                อนึ่ง ความที่สังโยชน์อันตนละเสียแล้ว
อายะติง อนุปปาโท โหติ                                  ย่อมไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ด้วยประการใด
ตัญจะ ปะชานาติ                                             ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย
อิติ  อัชฌัตตัง วา  ธัมเมสุ                                 ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม
ธัมมานุปัสสี วิหะระติ                                      เป็นภายในบ้าง
พะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ      ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมเป็นภายนอกบ้าง
อัชฌัตตะพะหิทธา วา ธัมเมสั                          ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งภายใน
ธัมมานุปัสสี วิหะระติ                                      ทั้งภายนอกบ้าง
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา  ธัมเมสุ วิหะระติ    ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือความเกิดขึ้นในธรรมบ้าง
วะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ             ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือความเสื่อมไปในธรรมบ้าง
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา                       ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือทั้งความเกิดขึ้น
ธัมเมสุ วิหะระติ                                               ทั้งความเสื่อมไปในธรรมบ้าง
อัตถิ ธัมมาติ วา ปะนัสสะ สะติ                        ก็หรือสติว่าธรรมมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่
ปัจจุปัฏฐิตา โหติ                                             เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ                               แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้
ปะติสสะติมัตตายะ                                          แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ                                    เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย
นะ จะ กิญจิ โลเก  อุปาทิยติ                             ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆ ในโลกด้วย
เอวัมปิ โข ภิกขะเว ภิกขุ ธัมเมสุ                       ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรม
ธัมมานุปัสสี วิหะระติ ฉสุ                                ในธรรมคือายตนะภายในและอายตนะภายนอก
อัชฌัตติกะพาหิเรสุ      อายะตะเนสุ                 อย่างนี้แล
อายตนปัพพัง                                                  จบข้อกำหนดด้วยอายตนะ

ไม่มีความคิดเห็น: