วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

อนัตตลักขณสูตร


อนัตตลักขณสูตร
เริ่มอนัตตลักขณสูตร
ยันตัง สัตเตหิ ทุกเขนะ                                    อนัตตลักขณอันใด อันสัตว์ทั้งหลายพึงรู้ได้โดยยาก
เญยยัง อะนัตตะสัญญานัง                              พระสัมพุทธเจ้า ได้ทรงประกาฅอนัตตลักขณะนั้น
อัตตะวาทาตตะสัญญานัง                               เป็นธรรมอันปลดเปลื้องอัตตวาทุปาทาน การถือมั่น
สัมมะเทวะ วิโมจะนัง                                     ด้วยอันกล่าวว่าตน และอัตตสัญญา ความสำคัญว่าตน
สัมพุทโธ ตัง ปะกาเสสิ                                                โดยชอบแท้
ทิฏฐะสัจจานะ โยคินัง                                    แก่เหล่าพระโยคี คือปัญจวัคคีย์ ผู้มีสัจจะอันเห็นแล้ว
อัตตะรี ปะฏิเวธายะ                                        เพื่อให้เจริญญาณอันอุดม
ภาเวตุง ญาณมุตตะมัง                                                เพื่อความตรัสรู้ธรรมอันยิ่ง
ยันเตสัง ทิฏฐะธัมมานิ                                                จิตของพระปัญจวัคคีย์เหล่านั้น
ญาเณนุปปะริกขะตัง                                       ผู้มีธรรมอันได้เห็นแล้วใคร่ครวญแล้วด้วยญาณ
สัพพาสะเวหิ จิตตานิ                                      พ้นแล้วจากอาสวะทั้งปวง
วิมุจจิงสุ อะเสสะโต                                        โดยไม่เหลือ ด้วยพระสุตรอันใด
ตะถา ญาณานุสสาเรนะ                                  เราทั้งหลาย จงสวดพระสูตอันนั้น
สาสะนัง กาตุมิจฉะตัง                                                เพื่อประโยชน์สำเร็จแก่สาธุชนทั้งหลาย
สาธูนัง อัตถะสิทธัตถัง                                                ผู้ปรารถนาจะทำคำสอน โดยระลึกตาม
ตัง สุตตันตัง ภะณามะ เสฯ                            ญาณอย่างนั้น เทอญ.

อนัตตลักขณะสูตร
เอวัมเม สุตัง                                                    อันข้าพเจ้า(คือพระอานนทเถระ)ได้สดับมาแล้วอย่างนี้
เอกัง สะมะยัง ภะคะวา                                   สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับอยู่ทีป่าอิสิ
พาราณะสิยัง วิหะระติ อินิปะตะเน มิคะทาเย ปตนะทฤคทายวัน ไกล้เมืองพาราณสี
ตัตฺระ โข ภะคะวา ปัญจะวัคคิเย                      ในกาลนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเตือน
ภิกขู  อามันเตสิ                                               พระภิกษุปัญจวัคคีย์(ให้ตั้งใจฟังภาษิตนี้ว่า)
.รูปัง ภิกขะเว อนัตตา                                    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูป (คือร่างกายนี้)
เป็นอนัตตา (มิใช่ตน)
รูปัญจะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสะ        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็รูปจักได้เป็นอัตตา(ตน)แล้ว
นะยิทัง รูปัง อาพาธายะ สังวัตเตยยะ              รูปนี้ก็ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ(ความลำบาก)
ลัพเภถะ จะ รูเป                                               อนึ่ง สัตว์พึ่งได้ในรูปตามใจหวังว่า รูปของเรา จง
เอวัง เม โหตุ เอวัง เม รูปัง มา อโหสีติ             เป็นอย่างนี้เถิด รูปของเราอย่างได้เป็นอย่างนั้นเลย
ยัสมา จะ โข ภิกขะเว รูปัง อนัตตา                  ก็เพราะเหตุใดแล ภิกษุทั้งหลาย รูปจึงเป็นอนัตตา
ตัสมา รูปัง อาพาธายะ สังวัตตะติ                   เพราะเหตุนั้น รูปจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ
นะ จะ ลัพภะติ รูเป                                         อนึ่ง สัตว์ย่อมไม่ได้รูปตามใจหวัง
เอวัง เม รูปัง โหตุ                                            ว่ารูปของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด
เอวัง เม รูปัง มา อโหสีติ                                  รูปของเรา อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย
. เวทะนา อนัตตา                                         เวทนา (คือความรู้สึกอารมณ์)เป็นอนัตตา
เวทะนา จะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสะ  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เวทนานี้จักเป็นอัตตาแล้ว
นะยิทัง เวทะนา อาพาธายะ สังวัตเตยยะ        เวทนานี้ ก็ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ
ลัพเภถะ จะ เวทะนายะ                                   อนึ่ง สัตวฅ์พึงได้ในเวทนาตามใจหวัง
เอวัง เม เวทะนา โหตุ                                      ว่าเวทนาของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด เวทนาของเรา
เอวัง เม เวทะนา มา อโหสีติ                            อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย
ยัสมา จะ โข ภิกขะเว                                       เพราะเหตุใดแล ภิกษุทั้งหลาย
เวทะนา อนัตตา                                              เวทะนาจึงเป็นอนัตตา
ตัสมา เวทะนา อาพาธายะ สังวัตตะติ             เพราะเหตุนั้น เวทนาจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ
นะ จะ ลัพเภถะ จะ เวทะนายะ                        อนึ่ง สัตว์ย่อมไม่ได้ในเวทนาตามใจหวัง
เอวัง เม เวทะนา โหตุ                                      ว่าเวทนาของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด เวทนาของเรา
เอวัง เม เวทะนา มา อโหสีติ                            อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย
.  สัญญา อนัตตา                                          สัญญา(คือความจำ) เป็นอนัตตา
สัญญา จะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสะ    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สัญญานี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว
นะยิทัง สัญญา อาพาธายะ สังวัตเตยยะ          สัญญานี้ ก็ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ
ลัพเภถะ จะ สัญญายะ                                     อนึ่ง สัตว์ ก็ไม่พึงได้ในสัญญาตามใจหวัง
เอวัง เม สัญญา โหตุ                                        ว่าสัญญาของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด
เอวัง เม สัญญา มา อโหสีติ                              สัญญาของเรา อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย
ยัสมา จะ โข ภิกขะเว สัญญา อนัตตา              ก็เพราะเหตุใดแล ภิกษุทั้งหลาย สัญญาจึงเป็น
ตัสมา สัญญา อาพาธายะ สังวัตตติ                 อนัตตา เพราะเหตุนั้น สัญญาจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ
นะ จะ ลัพภะติ  สัญญายะ                               อนึ่ง สัตว์ย่อมไม่ได้ในสัญญาตามใจหวัง
เอวัง เม สัญญา โหตุ                                        ว่าสัญญาของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด
เอวัง เม สัญญา มา อโหสีติ                              สัญญาของเรา อย่างได้เป็นอย่างนั้นเลย
. สังขารา อนัตตา                                         สังขารทั้งหลาย
สังขารา จะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา                      (คือสภาพที่เกิดกับใจ ปรุงแต่งใจให้ดีบ้าง ชั่วบ้าง )
 อะภะวิสสังสุ                                                  เป็นอนัตตา
นะยิทัง สังขารา อาพาธายะ สังวัตเคยยุง        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สังขารทั้งหลายนี้ จักได้เป็น
ลัพเภถะ จะ สังขาเรสุ                                      อัตตาแล้ว สังขารทั้งหลายนี้ ก็ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ
เอวัง เม สังขารา โหนตุ                                    อนึ่ง สัตว์พึงได้ในสังขารทั้งหลายตามใจหวัง
เอวัง เม สังขารา มา  อะเหสุนติ                       ว่าสังขารทั้งหลายของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด สังขาร
ทั้งหลายของเรา อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย
ยัสมา จะ โข ภิกขะเว                                       ก็เพราะเหตุใดแล ภิกษุทั้งหลาย
สังขารา อนัตตา                                              สังขารทั้งหลายจึงเป็นอนัตตา
ตัสมา สังขารา อาพาธายะ สังวัตตะติ             เพราะเหตุนั้น สังขารทั้งหลายจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ
นะ จะ ลัพภะติ สังขาเรสุ                                 อนึ่ง สัตว์ย่อมไม่ได้ในสังขารทั้งหลายตามใจหวัง
เอวัง เม สังขารา โหนตุ                                    ว่าสังขารทั้งหลายของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด
เอวัง เม สังขารา  มา อเหสุนติ                                     สังขารทั้งหลายของเรา  อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย
วิญญาณัง อนัตตา                                       วิญญาณ(คือใจ) เป็นอนัตตา
วิญญาณัญจะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา                   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็วิญญาณนี้
อะภะวิสสะ                                                     จักได้เป็นอัตตาแล้ว
นะยิทัง วัญญาณัง อาพาธายะ สังวัตเตยยะ     วิญญาณนี้ ก็ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ
ลัพเภถะ จะ วิญญาเณ                                      อนึ่ง สัตว์พึงได้ในวิญญาณตามใจหวัง
เอวัง เม วิญญาณัง โหตุ                                   ว่าวิญญาณของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด
เอวัง เม วิญญาณัง มา อโหสีติ                         วิญญาณของเรา  อย่าได้เป็นอย่างนันเลย
ยัสมา จะ โข ภิกขะเว                                       ก็เพราะเหตุใดแล ภิกษุทั้งหลาย
วิญญาณัง อนัตตา                                           วิญญาณจึงเป็นอนัตตา
ตัสมา วิญญาณัง อาพาธายะ สังวัตตะติ          เพราะเหตุนั้น วิญญาณพึงเป็นไปเพื่ออาพาธ
นะ จะ ลัพภะติ วิญญาเณ                                อนึ่ง สัตว์ย่อมไม่ได้วิญญาณตามใจหวัง
เอวัง เม วิญญาณัง โหตุ                                   ว่าวิญญาณของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด
เอวัง เม วิญญาณัง มา อโหสีติ                         วิญญาณของเรา อย่าได้เป็นอย่างนี้เลย
. ตัง กิง มัญญัตุถะ ภิกขะเว                           ท่านทั้งหลายย่อมสำคัญความนั้นเป็นไฉน
รูปัง นิจจัง วา อนิจจัง วา ติ                             รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง
อะนิจจัง ภันเต                                                ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า
ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ                        สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า
ทุกขัง ภันเต                                                     เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า
ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปริณามะธัมมัง           ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา
กัลป์ลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง                          ควรหรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้น
เอตัง มะมะ เอโสหะมัสมิ เอโส เม อัตตาติ       ว่านันเป็นเรา เราเป็นนั่นป็นนี่ นั่นเป็นตนของเรา
โน เหตัง ภันเต                                                            หาอย่างนั้นไม่ พระเจ้าข้า
. ตัง กิง มัญญัตถะ ภิกขะเว                          ท่านทั้งหลายย่อมสำคัญความนั้นเป็นไฉน
เวทะนา นิจจา วา อะนิจจา วาติ                      เวทนาเที่ยงหรือไม่เที่ยง
อะนิจจัง ภันเต                                                ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า
ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ                        สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า
ทุกขัง ภันเต                                                     เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า
ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปริณามะธัมมัง           ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไป
กัลป์ลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง                          เป็นธรรมดาควรหรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้น
เอตัง มะมะ เอโสหะมัสมิ เอโส เม อัตตาติ       ว่านั่นเป็นเรา เราเป็นนั่นป็นนี่ นั่นเป็นตนของเรา
โน เหตัง ภันเต                                                            หาอย่างนั้นไม่ พระเจ้าข้า
. ตัง กิง มัญญัตถะ ภิกขะเว                          ท่านทั้งหลายย่อมสำคัญความนั้นเป็นไฉน
สัญญา นิจจา วา อะนิจจา วาติ                                    สัญญาเที่ยงหรือไม่เที่ยง
อะนิจจัง ภันเต                                                ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า
ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ                        สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า
ทุกขัง ภันเต                                                     เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า
ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปริณามะธัมมัง           ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไป
กัลป์ลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง                          เป็นธรรมดาควรหรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้น
เอตัง มะมะ เอโสหะมัสมิ เอโส เม อัตตาติ       ว่านั่นเป็นเรา เราเป็นนั่นป็นนี่ นั่นเป็นตนของเรา
โน เหตัง ภันเต                                                            หาอย่างนั้นไม่ พระเจ้าข้า
. ตัง กิง มัญญัตถะ ภิกขะเว                           ท่านทั้งหลายย่อมสำคัญความนั้นเป็นไฉน
สังขารา นิจจา วา อะนิจจา วาติ                      สังขารเที่ยงหรือไม่เที่ยง
อะนิจจัง ภันเต                                                ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า
ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ                        สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า
ทุกขัง ภันเต                                                     เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า
ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปริณามะธัมมัง           ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวน
กัลป์ลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง                          ไปเป็นธรรมดาควรหรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้น
เอตัง มะมะ เอโสหะมัสมิ เอโส เม อัตตาติ       ว่านั่นเป็นเรา เราเป็นนั่นป็นนี่ นั่นเป็นตนของเรา
โน เหตัง ภันเต                                                            หาอย่างนั้นไม่ พระเจ้าข้า
๑๐. ตัง กิง มัญญัตถะ ภิกขะเว                         ท่านทั้งหลายย่อมสำคัญความนั้นเป็นไฉน
วิญญาณัง นิจจา วา อะนิจจา วาติ                   วิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง
อะนิจจัง ภันเต                                                ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า
ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ                        สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า
ทุกขัง ภันเต                                                     เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า
ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปริณามะธัมมัง           ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา
กัลป์ลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง                          ควรหรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้น
เอตัง มะมะ เอโสหะมัสมิ เอโส เม อัตตาติ       ว่านันเป็นเรา เราเป็นนั่นป็นนี่ นั่นเป็นตนของเรา
โน เหตัง ภันเต                                                            หาอย่างนั้นไม่ พระเจ้าข้า
๑๑. ตัสมา ติหะ ภิกขะเว                                  เพราะเหตุนั้นแล ภิกษุทั้งหลาย รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง
ยังกิญจิ รูปัง อตีตานาคะตะปัจจุปปันนัง         ที่เป็นอดีตก็ดี อนาคตก็ดี ปัจจุบันก็ดี
อัชฌัตตัง วา พะหิทธา วา                               ภายในก็ดี ภายนอกก็ดี
โอฬาริกัง วา สุขุมัง วา                                                หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี
หีนัง วา ปะณีตัง วา                                         เลวก็ดี ประณีต ก็ดี
ยันทูเร สันติเก วา                                            อันใด มีในที่ไกลก็ดี ในทีไกล้ก็ดี
สัพพัง รูปัง                                                      รูปทั้งหมด ก็เป็นสักว่ารูป
เนตัง มะมะ                                                     นั่นไม่ใช่ของเรา
เนโสหะมัสมิ                                                   เราไม่เป็นนั่นเป็นนี่
นะ เมโส อัตตาติ                                             นั่นไม่ใช่ตนของเรา ดังนี้
๑๒. ยากาจิ เวทะนา                                         เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง
อตีตานาคะตะปัจจุปปันนา                             ที่เป็นอดีตก็ดี อนาคตก็ดี ปัจจุบันก็ดี
อัชฌัตตา วา พหิทธา วา                                  ภายในก็ดี ภายนอกก็ดี
โอฬาริกา วา  สุขุมา วา                                    หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี
หีนา วา ปะณีตา วา                                         เลวก็ดี ประณีตก็ดี
ยา ทูเร สันติเก วา                                            อันใด มีในที่ไกลก็ดี  ในที่ใกล้ก็ดี
สัพพา เวทะนา                                                            เวทนาทั้งหมด ก็เป็นสักวาเวทนา
เนตัง มะมะ                                                     นั่นไม่ใช่ของเรา
เนโสหะมัสมิ                                                   เราไม่เป็นนั่นเป็นนี่
นะ เมโส อัตตาติ                                             นั่นไม่ใช่ตนของเรา ดังนี้
เอวะเมตัง ยะถาถูตัง สัมมัปปัญญายะ                         ข้อนี้อันท่านทั้งหลาย พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ
ทัฏฐัพพัง                                                        ตามเป็นจริงแล้วอย่างนี้
๑๓. ยากาจิ สัญญา                                           สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง
อะตีตานาคะตะปัจจุปปันนา                           ที่เป็นอดีตก็ดี อนาคตก็ดี ปัจจุบันก็ดี
อัชฌัตตา วา พหิทธา วา                                  ภายในก็ดี ภายนอกก็ดี
โอฬาริกา วา สุขุมา วา                                     หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี
หีนา วา ปณีตา วา                                           เลวก็ดี ประณีตก็ดี
ยา ทูเร สันติเก วา                                            อันใด มีในทีไกลก็ดี ในที่ไกล้ก็ดี
สัพพา สัญญา                                                  สัญญาทังหมดก็เป็นสักว่าสัญญา
เนตัง มะมะ                                                     นั่นไม่ใช่ของเรา
เนโสหะมัสมิ                                                   เราไม่เป็นนั่นเป็นนี่
นะ เมโส อัตตาติ                                             นั่นไม่ใช่ตนของเรา ดังนี้
เอวะเมตัง สัมมัปปัญญาย ทัฏฐัพพัง               ข้อนี้อันท่านทั้งหลาย พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตาม
เป็นจริงแล้วอย่างนั้น
๑๔. เยเกจิ สังขารา                                           สังขารทั้งหลายเหล่าใดเหล่าหนึ่ง
อะตีตาตาคะตะปัจจุปปันนา                           ที่เป็นอดีตก็ดี อนาคตก็ดี ปัจจุบันก็ดี
อัชฌัตตา วา พะหิทธา วา                                ภายในก็ดี ภายนอกก็ดี
โอฬาริกา วา สุขุมา วา                                     หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี
หีนา วา ปะณีตา วา                                         เลวก็ดี ประณีตก็ดี
เย ทูเร สันติเก วา                                             เหล่าใด มีในที่ใกล้ก็ดี ในที่ไกลก็ดี
สัพเพ สังขารา                                                 สังขารทั้งหลายทั้งหมด เป็นสักว่าสังขาร
เนตัง มะมะ                                                     นั่นไม่ใช่ของเรา
เนโสหะมัสมิ                                                   เราไม่เป็นนั่นเป็นนี่
นะ เมโส อัตตาติ                                             นั่นไม่ใช่ตนของเรา ดังนี้
เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปัญญายะ                         ข้อนี้อันท่านทั้งหลาย พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ
ทัฏฐัพพัง                                                        ตามเป็นจริงแล้วอย่างนั้น
๑๕. ยังกิญจิ วิญญาณัง                                    วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง
อะตีตานาคะตะปัจจุปปันนา                           ที่เป็นอดีตก็ดี อนาคตก็ดี ปัจจุบันก็ดี
อัชฌัตตัง วา พะหิทธา วา                               ภายในก็ดี ภายนอกก็ดี
โอฬาริกัง วา สุขุมัง วา                                                หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี
หีนัง วา ปะณีตัง วา                                         เลวก็ดี ประณีตก็ดี
ยันทูเร สันติเก วา                                            อันใด มีในที่ไกลก็ดี ในที่ใกล้ก็ดี
สัพพัง วิญญาณัง                                             วิญญาณทั้งหมด ก็เป็นสักว่าวิญญาณ
เนตัง มะมะ                                                     นั่นไม่ใช่ของเรา
เนดสหะมัสมิ                                                  เราไม่เป็นนั่นเป็นนี่
นะ เมโส อัตตาติ                                             นั่นไม่ใช่ตนของเรา ดังนี้
เอวะเมตัง สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐัพพัง             ข้อนี้อันท่านทั้งหลาย พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ
๑๖. เอวัง ปัสสัง ภิกขะเว                                  ตามเป็นจริงแล้วอย่างนั้น ดังนี้
สัตวา อะริยะสาวะโก                                      ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้วเห็นอยู่อย่างนี้
รูปัสมิงปิ นิพพินทะติ                                      ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในรูป
เวทะนายะปิ นิพพินทะติ                                ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในเวทนา
สัญญายะปิ นิพพินทะติ                                  ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในสัญญา
สังขาเรสุปิ นิพพินทะติ                                   ย่อมเบื่อหน่าย  ทั้งในสังขารทั้งหลาย
วิญญาณัสมิงปิ นิพพินทะติ                             ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในวิญญาณ
นิพพินทัง วิรัชชะติ                                         เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายความติด
วิราคา วิมุจจะติ                                               เพราะคลายความติด จิตก็พ้น
วิมุตตัสมิง วิมัตตะมีติ ญาณัง โหติ                 เมื่อจิตพ้นแล้ว ก็เกิดญาณรู้วาพ้นแล้ว ดังนี้
ขีณา ชาติ วุสิตัง พฺรหฺมะจะริยัง                      อริยสาวกนั้น ย่อมทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว 
กะตัง กะระณียัง                                              พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำเราได้ทำเสร็จ
นาปะรัง อิตถัตตายาติ ปะชานาติ                    แล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
๑๗. อิทะมะโว  จะ ภะคะวา                            พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสพระสูตรนี้จบลง
อัตตะมะนา ปัญจะวัคคิยา ภิกขู                       พระภิกษุปัญจวัคคีย์ก็มีใจยินดี
ภะคะวะโต ภาสิตัง อภินันทุง                         เพลิดเพลินภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า
อิมัสมิญจะ ปะนะ เวยยากะระณัสมิง              ก็แล เมื่อเวยากรณ์นี้ อันพระผู้มีพระภาคตรัสอยู่
ภัญญะมาเน                                                     จิตของพระภิกษุปัญจวัคคีย์
ปัญจะวัคคิยานัง ภิกขูนัง อนุปาทายะ              พ้นแล้ว จากอาสวะ
อาสะเวหิ จิตตานิ วิมุจจิงสูติ                           ทั้งหลาย ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทานแล

ไม่มีความคิดเห็น: