ถ้าจะย่นอริยสัจ ๔ ให้สั้นเข้าไปอีกอย่างหนึ่งก็คือ Another, even
briefer way to express the four Noble Truths
is as
follows:
๑
ลมหายใจเข้าออกเป็นทุกขสัจ The
in-and-out breath is the truth of stress.
๒
ไม่รู้ลมหายใจเข้า ไม่รู้จักลมหายใจออก Not being aware of the in-breath, not being
aware of the
เป็นสมุทัยสัจ
หรือ อวิชชาโมหะ out
breath: This is the cause of stress—avijja/moha,
Obscured,
deluded knowledge.
๓
ทำให้แจ้งในกองลมทั้งปวงจนละได้ไม่ยึดถือ Seeing into all aspects of the breath
so clearly that of stress.
เรียกว่า
นิโรธสัจ you
can let them go without attachment: This is the
Disbanding
of stress.
๔มีสติสัมปชัญญะประจำอยู่ในกองลมเรียกว่า Being constantly mindful and aware of all aspects
of the
มรรคสัจ Breath:
This is the Path to the disbanding of stress.
เมื่อปฏิบัติได้เช่นนี้ก็เรียกว่า
เป็นผู้ปฏิบัติถูกต้อง When
you can do this, you can say that you are unobscured
ตามแนวทางของอานาปาฯ
เป็นผู้มีวิชา อาจรู้ของ awareness(vijja).
You can know all Four Truths clearly.
จริงทั้ง
๔ อย่างได้อย่างชัดเจน ย่อมถึงวิมุติ วิมุตินั้นก็คือ You can attain release. Release is a mind which doesn’t
ดวงจิตที่ไม่เข้าไปติดอยู่ในเหตุฝ่ายต่ำ
ผลฝ่ายต่ำ fasten
into base causes and effects—i.e. the disbanding of
อันได้แก่ทุกข์
สมุทัย ไม่ติดอยู่ในเหตุฝ่ายสูง ผลฝ่ายสูง stress; or into noble causes and effects—i.e. the disbanding
คือ
มรรค และ นิโรธ ไม่ติดอยู่ในสิ่งที่ให้เรารู้ ไม่ติด of stress and the Path to its disbanding; a mind unattached
to
อยู่ในความรู้
ไม่ติดอยู่ในรู้ the things which cause it
to know, unattached to knowledge,
unattached to knowing:
แยกสภาพธรรมไว้เป็นส่วนๆ
When
you can separate these things, you have mastered
ได้เช่นนี้
ชื่อว่าเป็นผู้มีวิชา วิมุติ คือรู้จักเบื้องต้น the sill of release—i.e. when you know
what forms the
เบื้องปลายและท่ามกลาง
วางไปตามสภาพแห่งความ beginning,
what forms the end and what lies in between,
เป็นเอง
ที่เรียกว่า สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา letting them be as they
are on their own, in line with
the phrase:
Sabbe dhammā anatā: All phenomena are
not-the –self.
การติดอยู่ในสิ่งที่ให้เราคือ
ธาตุขันธ์ อายตนะเหล่านี้เป็น To be attached to the
things which cause us to know--
กามุปปาทาน
ติดวิชาความรู้ของตัวเป็น ทิฏฐุปาทาน the
elements, khandha, the senses and their objects-- is
ไม่รู้จักตัวรู้คือพุทธะ
สีลพัตตุปาทาน ย่อมเป็นเหตุ termed
kāmupādāna. To attached to knowledge
is termed
ให้หลงกายสังขาร
วจีสังขาร และจิตสังขาร ditthupadana.
To be unaquainted with pure knowing in and
อันเกิดจากอวิชชา of
itself( buddha) is termed sīlabbatupādāna. And when
we are attached in this
way, we are bound to be deluded
by the factors which
fashion the body, speech and the mind,
all of which arise from
obscured awareness—avijjā.
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์ย่อมเป็นผู้สมบูรณ์ The
Buddha was a complete master of both cause and
ทั้งเหตุทั้งผล
พระองค์มิได้เข้าไปยึดในเหตุฝ่ายต่ำ effect,
without being attached either to base causes
ผลฝ่ายต่ำ
มิได้เข้าไปยึดในเหตุฝ่ายสูง ผลฝ่ายสูง and base effects, or to noble causes
and noble effects.
อยู่นอกเหตุเหนือผล
สุขทุกข์พระองค์ก็มีใช้ He
had at his disposal both stress and ease, but was
แต่พระองค์ไม่ติดสุข
ติดทุกข์ ดี ชั่ว พระองค์ attached
to neither. He fully knew both good and evil,
ก็มีอยู่โดยสมบูรณ์
อัตฺตา และ อนัตตา พระองค์ he
was fully equipped with both self and not-self, but
ก็มีอยู่โดยสมบูรณ์
แต่พระองค์ไมได้ไปยึดถือ was
not attached to any of these matters. He had at his
ในเรื่องราวเหล่านั้น
วัตถุอันเป็นที่ตั้งสมุทัยก็มี disposal
the objects which can act as the basis for the cause
ใช้
แต่พระองค์ก็มิได้ติด มรรค คือปัญญา พระองค์ of stress, but was not attached to them. The Path—
ก็มีใช้
พระองค์รู้จักแต่งพระองค์ด้วยพิธีการต่างๆ discernment—was also at his disposal: He had a sense of
เช่น
แต่งโง่ แต่งฉลาด แล้วรู้จักใช้โง่ ใช้ฉลาด how to appear either
ignorant or shrewd, and of how to use
ในกิจพระศาสนา
ส่วนนิโรธนั้นเล่า พระองค์ both
ignorance and shrewdness in his work of spreading
ก็มีใช้มิได้ยึดถือ
คือไม่มีการติดในสิ่งเหล่านั้น the
religion. And as for the disbanding of stress, he had
จึงเรียกว่า
เป็นผู้สมบูรณ์ได้จริง it
at his disposal, but didn’t cling to it, i.e. he wasn’t
attached to it, which is
why we can truly say that his mastery
was complete.
ก่อนทีพระองค์จะละได้เช่นนั้น
พระองค์ก็ต้อง Before
the Buddha was able to let go of these things in this
บำเพ็ญให้เกิดมีขึ้นโดยสมบูรณ์เสียก่อน
แล้วจึง way,
he first had to work at giving rise to them in full
ค่อยปล่อยวางเป็นการปล่อยวางด้วยความสมบูรณ์ measure. Only then could he put them aside. His was a
letting
มั่งมี
มิใช่จะวาง จะปล่อยด้วยความยากจนอย่าง go from abundance, unlike that of the
ordinary person, who
บุคคลธรรมดา
แม้พระองค์ทรงวางแล้วก็ยังมีใช้อยู่ ‘lets
go’ out of poverty. Even though the Buddha let these
พระองค์มิได้ทรงปฏิเสธ
ในการที่พระองค์ได้บำเพ็ญ things
go, they were still at his disposal. He never dismissed
ศีล สมาธิ
ปัญญามาตั้งแต่ยังมิได้ตรัสรู้ จนได้รู้แจ้ง the virtue, concentration and discernment he had worked
at
เห็นจริง
แล้วยังทรงใช้ศีล สมาธิ และปัญญาอยู่ perfecting
up to the day of his Awakenment. He continued
ทุกประการจนวันเสด็จดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพาน using every aspect of virtue,
concentration and discernment
ตราบถึงขณะจิตที่จะปรินิพพานนั้นก็ยังบำเพ็ญสมาธิ to the day he entered total nibbāna. Even the moment he was
สมาบัติอยู่
คือพระองค์ได้เสด็จดับขันธ์ปรินพพานใน about to nibbāna, he was practicing his full command of
ระหว่างรูปฌานและอรูปฌาน concentration—i.e. he
entered total nibbāna between the
physical and non-physical
levels of jhāna.
เพราะฉะนั้น
พุทธบริษัททั้งหลายก็ไม่น่าจะปฏิเสธ Therefore,
we shouldn’t dismiss virtue, concentration and
ศีล
สมาธิ ปัญญากันเสีย คนบางคนจะถือศีลก็กลัว discernment. Some people won’t observe the precepts
สีลพัตตฯ
บางคนจะบำเพ็ญสมาธิก็กลัวโง่กลัวบ้า because
they are afraid of becoming bound to them. Some
ก็มี
แท้จริงคนเราก็มีความโง่ความบ้าประจำอยู่แล้ว people won’t practice concentration because they are afraid
การกระทำสมาธิจิตนั้น
เป็นเรื่องแก้โง่แก้บ้าต่างหาก of
becoming ignorant or going insane. The truth of the matter
ถ้าได้ศึกษาโดยทางที่ถูกต้องย่อมเกิดปัญญาอันบริสุทธิ์ is that we are already normally ignorant, already normally
เหมือนเพชรพลอยที่จารนัยแล้ว
ย่อมเกิดแสงขึ้นในตัว insane,
and that to practice centering the mind is what
ของมันเองโดยธรรมชาตินั้นแล
จึงเรียกว่าเป็นตัว will
end our ignorance and cure our insanity. Once we have
ปัญญาที่แท้เกิดขึ้นเฉพาะตัว trained
ourselves correctly, we will give rise to pure
discernment, like a cut
jewel which gives off light by its
very nature. This is what
qualifies as true discernment.
It arises for us
individually, and is termed paccattaṃ: We
can give rise to it, and know
it, only for ourselves alone.
แต่โดยมากคนเราเข้าใจผิด
ไม่รู้ลักษณะของปัญญา Most
of us, however, by and large misunderstand the
ไปถือเอาปัญญาไม่แท้มาทับของแท้เสีย
คล้ายๆ nature
of discernment. We take imitation discernment,
กับว่าเราปรอทมาทากระจกแล้วมองเห็นเงาของตัว adulterated with concepts, and use it to smother the real
และคนอื่นได้
โดยอาศัยของอื่นมาฉาบทา ก็เข้าใจว่า thing,
like a person who coats a piece of glass with mercury
ตัวเป็นผู้ฉลาดมองเห็นธรรมลักษณะ
อย่างนี้ก็เท่ากับ so
that he can see his reflection and that of others, thinking
ว่าลิงส่องกระจกเงาเท่านั้นเอง
ตัวเดียวก็จะต้องกลาย that
he’s found an ingenious way of looking at the truth.
เป็นสองตัว
ก็จะเล่นเงาของตนเองอยู่อย่างนี้เรื่อยไป Actually, he’s nothing more than a monkey looking in
ถ้าปรอทหลุดออกจากบานกระจกเมื่อไร
ลิงตัวนั้น mirror:
One monkey becomes two, and will keep playing
ก็จะหน้าตกซบเซาอยู่โดยไม่รู้ว่าเงานั้นมันมาจากเรื่อง with its reflection until the mercury wears off, at which
อะไร
ฉันใด at
which point it will become crestfallen, not knowing what
บุคคลผู้ที่ได้ปัญญาที่ไม่แท้ไม่จริง
คิดเอาเดาเอาตาม the
reflection came from in the first place. So it is when we
สัญญารมณ์ว่าตนรู้ตนเห็น
โดยปราศจากความรู้สึก gather
imitation discernment, unwittingly, by thinking and
ตนเองแล้วก็จะได้รับความทุกข์โศก
ในคราวประสพ conjecturing
in line with concepts and pre-occupations we
กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าเมื่อภายหลัง think we have perceived: We’re headed for sorrow
when
coming
face-to-face with future events.
ฉะนั้น
ส่วนสำคัญของปัญญาโดยธรรมชาติใน Thus,
the essential factor in natural discernment comes
ทางพระพุทธศาสนา
ย่อมเกิดขึ้นจากการอบรมดวงจิต solely
from training the mind to be like a diamond which
โดยเฉพาะ เมื่อแสงเพชรที่เกิดในตัวของมันเองย่อมมี gives off its own light—surrounded by radiance whether
รัศมีแผ่โดยรอบและเกิดแสงสว่างได้ทั้งในที่มืดและ in dark places or bright. A mirror is useful only in places
ที่สว่าง
ส่วนเงาในกระจกนั้นใช้ได้สำหรับในสถานที่ that are already well-lit. If you take it into the dark, you
มีแสงสว่างมองเห็น
ถ้าเอาเข้าไปในที่มืดแล้วจะใช้ can’t
use it to see your reflection at all. But a cut jewel
ส่องเงาตัวเองไม่ได้เลย
ไม่เหมือนแสงเพชรแสง which
gives off its won light is brilliant everywhere. This
พลอยทีจารนัยแล้ว
ย่อมมีแสงได้ทั่วไป is
what the Buddha meant when he taught that there are
ฉะนั้น
พระองค์จึงได้ทรงแสดงไว้ว่า ปัญญาไมมีที่ no closed or secret places in the world where discernment
ลับและปิดบังได้ในโลกนั้นแล
เรียกว่า ปัญญารัตนัง cannot
penetrate. This ‘jewel of discernment’(paññā-ratanaṃ)
เป็นตัวที่จะทำลายเสียได้ซึ่งอวิชชา
ตัณหา และ is
what will enable us to destroy craving, attachment and
อุปาทาน
ก็จะบรรลุคูณธรรมอย่างสูงสุด คือ obscured
awareness, and to attain to the highest excellence:
พระนิพพาน
ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่สาบ ไม่สูญ มีอยู่ nibbāna, free from pain, death,
annihilation and extinction,
โดยธรรมชาติของธรรมเรียกวา
อมต existing
naturally by virtue of the quality called
deathlessness(amata-dhamma).
โดยมากคนเรามักจะต้องการแต่ปัญญา
และวิมุติ By
and large, we tend to be interested only in discernment
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่อาจจะเป็นไปได้
เอะอะก็ อนิจจัง
and release: At the drop of a hat we want to start right out
ทุกขัง
อนัตตา กันเสียเลยทีเดียว สมเด็จพระสัมมา with teachings on stress, inconstancy and not-self--and
สัมพุทธเจ้า
ก่อนทีพระองค์จะปฏิเสธ อนิจจํ ของ when
this is the case, we’ll never get anywhere. Before
ไม่เที่ยงนั้น
พระองค์ได้ทำ ได้รู้ จนปรากฏเห็นเป็นของ the Buddha taught aniccaṃ—that things are inconstant-- he
เที่ยงเสียก่อนทีจะปฏิเสธ
ทุกขํ พระองค์ก็ได้ทำทุกข์ had worked at knowing them until they had revealed their
อันนั้นให้เป็นสุขเสียก่อน
และก่อนทีจะปฏิเสธ อนตฺตา constancy.
Before teaching dukkhaṃ—that things are
ทีไม่ใช่ตัวตนนั้น
พระองค์ก็ได้ทำ อนตฺตา ให้เป็น อตฺตา stressful—he
had turned that stress into please and ease.
ขึ้นเสียก่อน จึงได้เห็นของเที่ยงของจริงทีแอบอิงอยู่ And before teaching anattā—that things are not the self--
ใน
ทุกขํ อนิจจํ อนตฺตา แล้วก็ได้รวบรวมยอดแห่งธรรม he had turned what is not the self into a self, and thus
เหล่านั้นเข้ามาเป็นอันเดียว
เช่นทำ ทุกขํ อนิจจํ อนตฺตา he
was able to see what is constant and true, lying hidden in
ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
นี้เป็นหมวดหนึ่ง นับเป็น what
is inconstant, stressful and not the self. He then
พวกเดียวกัน
มีลักษณะเสมอกันหมดทั้งโลก gathered
all that is inconstant, stressful and not the self.
He then gathered all of
these qualities into one. E.g. he
gathered all that is
inconstant, stressful and not the self
into one and the same
thing: fashiongings(saṅkhāra)
viewed in terms of the
world—a single class, equal
everywhere throughout the
world.
ส่วน
นิจจํ สุขํ อตฺตา นี้เห็นอีกหมวดหนึ่ง As
for what is constant,
เป็นสังขารธรรม
พระองค์ทรงปล่อยได้แล้วในส่วน pleasant
and self, this was another class: fashionings
สังขารโลกและสังขารธรรม
ไม่ข้องอยู่ในของเที่ยงและ viewed
in terms of the dhamma. And then he let go of both
ของไม่เที่ยง
ไม่ข้องอยู่ในทุกข์และสุข ไม่ข้องอยู่ class, without getting caught up on’
constant’ or ‘inconstant’,
ในอัตตาและอนัตตา
จึงได้นามว่า วิมุติ วิสุทธิ ‘stress’
or ‘ease’, ‘self’ or ‘ not the self’. Thus we say
นิพพาน
ไม่ต้องไปยึดสังขารธรรมและสังขารโลก he
attained release, purity and nibbāna—liberation-- having
no need to latch on to
fashionings at all—whether viewed
in
terms of the world or the dhamma.
ทั้งหมดนี้
เป็นลักษณะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ This was the nature of the Lord Buddha’s practice. But
พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญมา
แต่ปฏิปทาของพุทธบริษัท as
for our own practice, most of us like people who have
ทั้งหลายส่วนมากมักจะเป็นผู้รู้ก่อนเกิด
เป็นผู้เลิศ
everything figured out beforehand and have succeeded
ก่อนทำ
ต้องการแต่ความละความพ้นกันฝ่ายเดียว even
before they start. I.e. we want simply to let and attain
ถ้าละโดยปราศจากเหตุอันสมบูรณ์แล้วมันจะเลอะ peace and release. But if we haven’t laid the full
groundwork,
ถ้าพ้นกันโดยปราศจากเหตุแล้วมันจะผิด
สำหรับคน our letting
to is bound to be lacking: Our peace is bound to
ผู้ปรารถนาดี
อยากเป็นคนดี เหตุประกอบของตน be
piece-meal; our release is bound to be wrong. Those
โดยอาการเช่นนั้นมีแล้วหรือยัง
ถ้าหากว่าไม่ต้องการ of
us who sincerely mean well and want only the highest good
สร้างเหตุแห่งความละ
ความพ้นโดยสมบูรณ์ should
ask ourselves: have we laid the proper foundation?
แล้วพวกเราจะพ้นไปได้อย่างไร If we don’t lay the proper
foundation of release and letting
Go,
how will we ever get free?
พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่า
ศีล ปราบกิเลสอย่าง The
Buddha taught that virtue can overcome common
หยาบที่เป็นวิติกมโทษที่เกิดขึ้นทางกาย
ทางวาจา defilements,
the faults which occur by means of word
ออกเสียได้
สมาธิปราบกิเลสอย่างกลางมีกามฉันทะ and
deed; that concentration can overcome such intermediate
พยาปาทะ
ถีนมัทธะ อุทัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉา defilements
as sensual inclinations, ill will, torpor,
เป็นต้น
ส่วนปัญญาปราบกิเลสอย่างละเอียดมี restlessness
and uncertainty; and that discernment can
อวิชชา
ตัณหา อุปาทาน เป็นต้น overcome
such subtle defilements as craving, attachment
and obscured awareness.
คนบางคนทีมีปัญญาฉลาดหลักแหลม
สามารถ Yet
some people whose discernment is sharp, who can
ที่จะอธิบายข้ออรรถข้อธรรมได้อย่างชัดเจนแจ่ม clearly explain subtle points of
doctrine, can’t seem to
แจ้ง
แต่กิเลสเพียงหยาบ ๆ อันอันเป็นคู่ปรับแห่ง shake off the more common defilements
that even virtue can
ศีลแค่นี้ก็ยังละกันไม่ค่อยจะออก
นี่คงจะเป็น overcome.
Something, then ,must be tacking in their virtue,
เพราะขาดความสมบูรณ์แห่งศีล
สมาธิ ปัญญา concentration
and discernment.
กระมัง
จึงได้เป็นอย่างนั้น Their
virtues are probably all on the surface,
ศีลก็คงเป็นศีลอย่างเปลือก
ๆ สมาธิก็คงเป็นสมาธิ their
concentration is probably splotchy and stained,
เปื้อนเปรอะ
ปัญญาก็คงเป็นปัญญาอย่างเลอะเลือน their
discernment a smeared-on gloss--
เคลือบเอา
เสมอเหมือนกับดัวยบานกระจกที่ทา like
the glass coated with mercury—which is why they
ด้วยปรอทฉะนั้น
จึงไม่สามารถเป็นเหตุให้สำเร็จ can’t
attain the goal. Their actions fall
ความมุ่งหวังของพุทธบริษัทได้
ตกอยู่ในลักษณะ under
the old saying: Keeping a sword outside the scabbard—
มีดคมนอกฝัก
คือฉลาดในเชิงพูด เชิงคิด แต่ดวงจิต i.e.
having a way with words, but no center for the mind;
ไม่มีสมาธิ
นี่เรียกวาคมนอกฝัก ฟักไข่นอกรัง
laying an egg outside the nest—looking for goodness
คือแสวงหาความดีแต่ในภายนอก
ไม่อบรมจิต only
outside,without training the mind to be centered;
ของตนให้เป็นไปในทางสมาธิ
ปักหลักกองทราย resting
of foundation on the sand--
คือเที่ยวยึดถือเอาสิ่งที่ไม่เป็นสาระแก่ตนมาเป็น i.e. trying to find security in
things of no substance. All of
สรณะที่พึ่งย่อมให้โทษ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ชื่อว่า this is bound to bring harm. Such people have yet
to find
เป็นผู้ที่ยังไม่ได้ที่พึ่งอันเป็นแก่นสาร a worthwhile refuge.
ฉะนั้น
จึงควรที่จะต้องสร้างเหตุให้เป็นไปด้วยดี Thus, we should lay the groundwork and
put the causes
เพราะธรรมทั้งหลายย่อมไหลเทมาแต่เหตุ
ดังนี้ into good working order,
because all the qualities we
hope for come springing from causes.
อตฺตนา
โจทยตฺตานํ ปฏิมํ เส ตมตฺตนา Attanā codayattānaṃ patimaṅse tamattanā
จงเตือนตน
ฝึกฝนใจด้วยตนเอง จงเร่งพิจารณา Rouse
yourself.Train your own heart.Start judging your
(อานาปาฯ)ของตนด้วยเทอญ own
(in-and-out breath).
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น