วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Meditation Handbook 12

องค์ฌาน                                                                                 Jhāna
ตอนนี้จะได้รวบรัดวิธีปฏิบัติอานาปาฯให้เป็น                  Now we will summarize the methods of breath meditation
องค์ฌานขึ้นตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้                                              under the heading of jhāna
(๑)“ฌาน” ฌานแปลว่า ความเพ่งอยู่ในอารมณ์                   Jhāna means to be absorbed or focused in a single object
อันเดียว เช่น กระทำลมหายใจ ดังต่อไปนี้                         or pre-occupation, as when we deal with the breath.
เป็นตัวอย่าง                                                                           E.g.—

ข้อ ๑ ปฐมฌาน มีองค์ ๕                                                        1 The first level of jhāna has five factors:
๑ วิตก ให้นึกถึงลมหายใจเข้าออกจนจำได้                        a.vitakka: think of the breath until you can recognize it
ไม่เผลอ(ตรึก)                                                                        clearly without getting distracted.
๒ เอกคฺคตา ให้ประคองจิตไว้ในลมหายใจ อย่าให้          b.Ekaggatā: Keep the mind with the breath. Don’t let it
แส่ส่ายไปในสัญญาอารมณ์อื่น ๆ ประคองจิตไว้ใน          stray after other objects. Watch over your thoughts so that
เรื่องลมอย่างเดียว จนเกิดลมสบายขึ้น (จิตถึงความ           they deal only with the breath to the point where the breath
เป็นหนึ่งนิ่งอยู่กับลมหายใจ)                                                               becomes comfortable.(the mind becomes one, at rest with
                                                                                                the breath.)
๓ วิจารณ์  คือให้รู้จักขยายลมหายใจที่ได้รับความ            c.vicāra|; Gaing a sense of how to let this comfortable breath-
สบายแล้วนั้น ให้เชื่อมกับลมส่วนอื่นในร่างกาย                                sensation spread and co-ordinate with the other breath
กระจายลมออกจนทั่วถึงกัน เมื่อร่างกายได้รับ                  sensation in the body. Let these breath-sensations spread until
ประโยชน์จากลมหายใจแล้ว ทุกขเวทนาก็สงบไป           they all merge. Once the body has been soothed by the breath,
ร่างกายเป็นไปด้วยธาตุลมที่ดี(ตรอง) คือ เพ่งอยู่                               feelings of pain will grow calm. The body will be filled with
ในเรืองของลมอย่างเดียว                                                     good breath energy.(The mind is focused exclusively
                                                                                                On issues connected with the breath.)
คุณธรรม ๓ อย่างนี้ เข้าอยู่ในสายลมอันเดียวกัน                               These three qualities together must be brought to bear on
จึงจะเป็นปฐมฌานได้ สายลมอันนี้ย่อมแล่นเข้าถึง            the same stream of breathing for the first level of jhāna
ฌาน ๔ ได้                                                                              to arise. This stream of breathing can then take you all
                                                                                                the way to the fourth level of jhāna.
 ๔ วิตก เอกัคคตา วิจารณ์ สามประการนี้เป็นตัวเหตุ         Vitakka, ekaggata and vicara act as the causes. When
เมือเหตุเหล่านี้ทำให้สมบูรณ์ ดังกล่าวมา ก็จะได้                               the causes have been perfected, results will appear:
รับผลเกิดขึ้น อันเป็นองค์มรรคที่ ๔ คือ ปีติ ความ                            Piti: a compelling sense of fullness and refreshment
อิ่มกายอิ่มใจก็เกิดขึ้นดุดดื่มปลาบปลื้มปราโมทย์                             for body and mind, going straight to the heart, independent
อยู่โดยลำพังกายและจิต                                                       to all else.
๕ สุข ความสบายกาย เกิดจากกายสงบ กายไม่                   Sukkha: physical pleasure arising from the body’s being
กระสับกระส่าย (กายปัสสัทธิ) ใจสบาย ใจไม่                    still and unperturbed (kāya-passaddhi); mental pleasur e
กระสับกระส่าย มีความสบายรื่นเริง อยู่โดยลำพังไม่        arising from the mind’s being at ease on its own, unperturbed,
วอกแวก (จิตปัสสัทธิ)                                                           serene and exultant(citta-passaddhi).
ปีติ สุข สองอย่างนี้เป็นส่วนผล ปฐมฌานที่อธิบายมา        Pīti and sukkha, then are the results. The factors of the first
นี้ก็มีเหตุอย่างหนึ่ง ผลอย่างหนึ่ง เท่านั้น                             level of jhāna thus come down simply to two sorts: cause
and result.
เมือปีติและสุขมีกำลังมากขึ้น ความละเอียด เพราะอาศัย   As pīti and sukkha grow stronger, the breath becomes     
ความเพ่งนานเข้า ผลก็แรงขึ้น จึงเป็นเหตุให้ละวาง            more subtle. I.e. the longer you stay focused and absorbed,
วิตกวิจารณ์อันเป็นงานเบื้องต้นเสียได้ อาศัยเหตุ                               the more powerful the results become. This enables you to set
อันเดียวคือ เอกัคคตารมณ์ก็เข้าสู่ทุติยฌาน                         vitakka and vicāra(the preliminary ground-clearing) aside
(มรรคจิต ผลจิต)                                                                   and—relying completely on one factor, ekaggatā—you
enter the second level of jhāna (magga-citta,phala-citta).

ข้อ ๒ ทุติยฌาน มีองค์ ๓ คือ                                                 The second level of jhāna has three factors:
๑ ปีติ                                                                                       pīti: Rapture: a compelling sense of fullness and refreshment
for body and mind,
๒ สุข                                                                                      sukkha: happiness: physical pleasure
๓ เอกัคคตา(มรรคจิต)                                                          Ekaggatā: one-pointedness of mind(magga-citta)
ได้แก่จิตที่เสวยผลมาจากปฐมฌาน ถ้าเข้าถึงทุติยฌาน      This refers to the state of mind which has tasted the results
ปีติก็มีกำลังแรงขึ้นอีก สุขก็มีกำลังแรงขึ้นอีก เพราะ         coming from the first level of jhāna. Once you have entered
อาศัยความเพ่งอยู่ในเหตุอันเดียว คือ เอกัคคตารมณ์         the second level, pīti and sukkha become stronger because
เป็นผู้ดูงานต่อไป เพ่งลมหายใจละเอียดเข้า นิ่งอยู่                             they rely on a single cause, ekaggatā, which looks after
ด้วยความอิ่มกายอิ่มใจ สุขกาย สุขจิต ใจแน่แน่วมั่นคง     the work from here on in: focusing on the breath so that it
ลงไปอีกกว่าเดิม เพ่งไปนานๆ ปีติและสุขก็จะมีกำลัง       becomes more and more refined, keeping steady and still
แล้วแสดงลักษณะอาการขยายตัวเข้าขยายตัวออก                             with a sense of refershment and pleasure for both body and
เอกัคคตารมณ์ ก็เพ่งลงไปอีก ขยับจิตลงไปอีกให้ละเอียด               mind. The mind is even more stable and intent than before.
จนพ้นจากลักษณะแห่งความไหวตัวของปีติและสุข         As you continue focusing, piti and sukkha become stronger
แล้วจะเข้าถึงตติยฌานต่อไป                                                                and being to expand and contract. Continue focusing on the
breath, moving the mind deeper to a more subtle level so as
to escape the motions of pīti andsukkha, and you enter the
third level of jhāna.

ข้อ ๓ ตติยฌาน มีองค์ ๒ คือ                                                 The third level of jhāna has two factors:
๑สุข                                                                                        1 sukkha
๒ เอกัคคตา                                                                           2 ekaggatā
กายมีความสงบสงัด พ้นจากการไหวตัวเป็นวิเวก ไม่มี     the body is quiet, motionless and solitary. No feelings
เวทนาอันใดมารบกวน จิตก็เงียบสงัดเป็นจิตวิเวก ลมก็   of pain arise to disturb it. The mind is solitary and still.
ละเอียดกว้างขวาง ปลอดโปร่ง มีรัศมีสีขาว ซาบซ่าน       The breath is refined, free-flowing and broad. A radiance--
ไปทั่วสรรพางค์กายคล้ายสำลี ระงับทุกข์เวทนาร่างกาย   white like cotton wool—pervades the entire body, stilling all
ได้หมด ระงับเวทนาของดวงจิตได้หมด จดจ้องประคอง                feelings of physical and mental pain. Keep focused on looking
ไว้แต่ลมอันละเอียดและกว้างขวาง ดวงจิตมีอิสระ           after nothing but the broad, refined breath. The mind is free:
ไม่มีอารมณ์สัญญาอดีตอนาคตมาแทรก ดวงใจก็โพลง    No thoughts of past or future disturb it. The mind stands out
อยู่ตามลำพัง  ธรรมธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ                                on its own. The four properties—earth, water, fire and wind--
เป็นสามัคคีกันทุกส่วน เกือบจะเรียกได้ว่า บริสุทธิ์           -- are in harmony throughout the body. You could  almost say
ทังก้อนกายก็ได้ เพราะลมมีกำลังควบคุมปรนปรือธาตุ    that they are pure throughout the entire body, because the
อย่างอื่นให้สามัคคีกันเป็นอย่างดี สติก็คุมอยู่กับ                               breath has the strength to control and care for the other
เอกัคคตา อันเป็นตัวเหตุ  ลมเต็มกาย สติเต็มกาย                               properties well, keeping them harmonious. Mindfulness is
เพ่งลงไปจิตก็แจ่มใส ร่างกายก็เบา ใจมีกำลังกล้า                              coupled with ekaggatā, which acts as the cause. The breath
เวทนา คือ สุข ก็สงบ กายก็สม่ำเสมอ ไม่มีความ                 fills the body. Mindfulness fills the body. Focus on in:
พลั้งเผลอใดๆ เข้าแทรกเป็นเหตุให้ปล่อยวางความ           The mind is bright and powerful. The body is buoyant.
สุข อาการของความสุขสงบ เพราะอาศัยธาตุทั้ง                 Feelings of pleasure are still. The sense of the body feels
๔เสมอกัน ไม่มีลักษณะอาการเคลื่อนไหวตัว                    constant and even, with no slips or gaps in your awareness,
ตัวเหตุเอกัคคตาก็มีกำลัง เพ่งหนักลงไปก็ได้เข้า                               and thus you can let go of your sense of pleasure. The
สู่จตุตถฌาน ต่อไป                                                                               manifestations of pleasure grow still, because the four
properties are balanced and free from motion. Ekaggatā,
the cause, has the strength to focus more heavily down,
leading you to the fourth level of jhāna.

ข้อ ๔ จตุตถฌาน มีองค์ ๒ คือ                                               The fourth level of jhāna has two factors:
๑ อุเบกขา                                                                               1 Upekkhā (equanimity)
๒ เอกัคคตา (สติ)                                                                  2 Ekaggatā, or mindfulness
อุเบกขากับเอกัคคตาในฌาน ๔ นี้ มีความเพ่งอย่าง            Upekkhā and ekaggatā on the fourth level of jhāna are
แข็งแรงเหนียวแน่นมั่นคง ธาตุลมสงบไม่มีอาการ             powerfully focused—solid, stable and sure. The breath
กระเพื่อมกระฉอกได้เลย จิตวางเฉยหมด อารมณ์                             element is absolutely quiet, free from ripples and gaps.
อดีตอนาคต ธาตุลมอันเป็นส่วนปัจจุบันก็เงียบเฉย           The mind, neutral and still, lets go of all pre-occupations
เปรียบเหมือนทะเลหรืออากาศทีปราศจากคลื่น                 with past and future. The breath, which forms the present,
รบกวน รูปและเสียงย่อมแลเห็น และรู้ได้ในทางไกล      is still, like the ocean or the air when they are free from
เพราะอาศัยธาตุลมซึ่งไม่มีอาการกระเพื่อมเคลื่อนไหว     current or waves. You can know distant sights and sounds,
ตัว เปรียบเหมือนจอหนังคอยรับรูปภาพที่ฉายออกมา     because the breath is even and unwavering, and so acts like
ให้แลเห็นและรู้เรืองของภาพนั้นๆ เป็นอย่างดี มีวิชา        a movie screen which gives a clear reflection of whatever
ความรู้เกิดขึ้นในดวงจิต รู้แล้วก็แฉยอยู่ จิตก็เฉย                               is projected onto it. Knowledge arises in the mind: You
ลมก็เฉย เฉยไปได้ทั้ง ๓ กาล นั้นแหละเรียกว่า                  know, but stay neutral and still. The mind is neutral and
เอกัคคตารมณ์ เพ่งอยู่ในความเฉยความเงียบของลม         still: this is true’ singleness of pre-occupations’
ลมทุกส่วนของร่างกายย่อมแล่นถึงกัน สามารถ                                (ekaggatārammaṇa), focused on the stillness of the breath.
ทีจะหายใจได้ทุกขุมขน คือ ไม่ต้องใช้หายใจทางจมูก     All aspects of the breath in the body flow together so that
เพราะลมหายใจกับลมส่วนอื่นเป็นพื้นดัยวกันหมด          you can breathe through every pore. I.e. you don’t have
ลมเต็ม ลมเสมอกัน ธาตุทั้ง ๔ มีลักษณะอย่างเดียว            to breathe through the nostrils because the in-and-out breath
หมด                                                                                        and the other aspects of the breath energy are even and full.
The four properties all have the same characteristics. The
mind is completely still.
จิตสงบเต็มที่ ความเพ่งก็แรง แสงก็แจ่ม เป็น                      The focus is strong; the light, aglow.
มหาสติปัฏฐาน ดวงจิตก็เบิกบานแจ่มใส เหมือนแสงไฟ   This is to know the great frame of reference.
หรือแสงอาทิตย์ซึ่งไม่มีเครื่องปิดบัง ย่อมลุกโพลง           The mind is beaming and bright--
ส่องโลกให้สว่างไสว อาทิตย์ซึ่งไม่มีเครื่องปิดบัง                             Like the light of the sun,
ย่อมลุกโพลงส่องโลกให้สว่างไสว ฉะนั้น                         Which unobstructed by clouds or haze
จิตดวงนี้ย่อมมีรัศมีอย่างบริบูรณ์ เพราะอาศัยความเพ่ง     Illumines the earth with its rays.
แห่งสติ ความเพ่งก็แรง แสงก็แจ่ม ดวงจิตก็มีอำนาจ          The mind sheds light in all directions. The breath is radiant,
คุณธรรม ๔ ประการเข้าสันนิบาตทั้งหมด คือ                    the mind is fully radiant, due to the focusing of mindfulness.
สติปัฏฐานทั้ง ๔ ไม่มีอาการว่านั่น กาย เวทนา                   The focus is strong; the light ,aglow…
จิต ธรรม ความเห็นที่ว่า ๔ นั้นย่อมไม่มี จึงเรียก                                The mind has power and authority. All four of the frames
ได้ว่า มหาสติปัฏฐาน เพราะธรรมทั้ง ๔ ประการ                               of reference are gathered into one. I.e. there is no sense that,
ไม่แตกแยกกัน                                                                      ‘that’s the body,’ ‘that’s a feeling,’’ That’s the mind,’ ‘
‘That’s a mental quality.’ There’s no sense that they’re
four. Thus, this is called the great frame of reference,
because none of the four are in any way separate.
ใจตั้งมั่นไม่หวั่นไหว อาศัยความเพ่งอย่างแรง                    The mind is firmly intent, Centered and true, Due to                                                                                                       the strength of its focus.
สติสัมปชัญญะก็รวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็น       Mindfulness and self-awareness coalesce into one: This is
สามัคคีธรรมโดยสมบูรณ์ ที่เรียกว่า เอกายมรรค คือ         what is meant by the one path(ekāyana-magga)—the
๔ใน ๑ จึงเป็นเหตุให้เกิดมีกำลังกล้า เป็นชาคริยานุโยค   concord among the properties and frames of reference,
องค์ตปธรรม กำจัดความมืดมิดปิดบังได้เป็นอย่างดี         four in one, giving rise to great energy, termed
แสงสว่างของดวงจิต เมื่อเพ่งแรงเข้าอำนาจอันเกิดขึ้น       jāgariyānuyoga, the purifying inner fire (tapas) which
จากการปล่อยวางอารมณ์ต่างๆ ดวงจิตก็มีกำลังตั้งอยู่       can thoroughly dispel all concealing darkness.
โดยลำพัง เหมือนบุคคลที่ขึ้นไปอยู่บนยอดภูเขา                              As you focus more strongly on the radiance of the mind,
ย่อมมีสิทธิอำนาจแลเห็นได้ในทิศต่างๆ ทั่วไป เครื่อง       the power that comes from letting to of all pre-occupations
อาศัยก็สูง คือธาตุลมเป็นเครื่องสนับสนุนให้เด่นเป็น        enables the mind to stand alone. You are like a person
อิสระ                                                                                      who has climbed to the top of a mountain and thus has
ฉะนั้น ดวงจิตนั้นจึงสามารถจะมองเห็นสถานที่ต่างๆ       the right to see in all directions. The mind’s dwelling--
ธาตุ ขันธ์ อายตนะ ที่เรียกว่าสังขารธรรมทั้งปวง                               the breath, which supports the mind’s freedom—is exalted,
ได้เป็นอย่างดี เปรียบเหมือนบุคคลที่เอากล้องขึ้นไป       so the mind is able to see all things fashioned ( saṅkhārā)
ถ่ายพื้นโลกบนอากาศ สามารถทีจะดึงดูดเอาภาพต่างๆ     clearly in terms of the dhamma, i.e. as elements, khandha,
ในพื้นโลกส่วนมากฉันใด ใจของบุคคลทีเข้าถึงลักษณะ  senses and sense objects. Just as a person who has taken
อย่างนี้ ย่อมรู้เห็นความเป็นจริงของโลก และธรรม          a camera up in an airplane can take pictures of practically
ได้เป็นอย่างดี (โลกวิทู)จะเกิดมีวิชาขึ้นอย่างหนึ่งใน        everything below, so a person who has reached this stage
ทางจิต ที่เรียกว่า วิปัสสนา หรือ วิชชา วิมุติ เหล่านี้           can see the world and the dhamma as they truly are(lokavidū).
เป็นต้น ธาตุทั้ง ๔ เป็นธาตุกายสิทธิ์ ดวงจิตเป็น                 In  addition, awareness of another sort, in the area of the
จิตตานุภาพ                                                                            mind—called liberating insight, or the skill of release--
เมื่อประสงค์ปรารถนาส่วนใดส่วนหนึ่ง อันเป็นส่วน        also arises. The elements or properties of the body acquire
ของธรรมและโลก ก็ให้ขยับจิตเพ่งลมให้หนักแรง           potency(kāya-siddhi); the mind, resiliant power.When you
กำลังจิตเข้าไปจ่อในธาตุอันบริสุทธิ์ ก็จะมีญาณผุดขึ้น      want knowledge of the world or the dhamma, focus the
ในธาตุนั้น เปรียบเหมือนเข็มของจานเสียงซึ่งจดจ่อ          mind heavily and forcefully on the breath. As the
ลงไปย่อมเกิดเสียงของมนุษย์และสัตว์ปรากฏขึ้น                             concentrated power of the mind strikes the pure element,
ในที่นั้น ฉันใด                                                                       intuitive knowledge will spring up in that element, just as
สติของเราจดจ่อเพ่งเล็งลงในอารมณ์อันสะอาด                                 the needle of a record player, as it strikes a record, will give
ต้องการรูปก็จะปรากฏรูป ต้องการเสียงก็จะปรากฏ         rise to sounds. When your mindfulness is focused on a pure
เสียง ไม่ว่าใกล้หรือไกลย่อมรู้ได้ทั้งเรืองโลกและ                            object, if you want images, images will appear; if sounds,
เรื่องธรรม เรื่องตนและคนอื่น สุดแท้แต่เราประสงค์        sounds will arise, whether near of far, matters of the world
เรื่องใด จดจ่อลงไปก็ให้นึกขึ้น จะปรากฏได้ทันที           or the dhamma, concerning yourself or concerning others, past,
ฉันนั้น                                                                                    present or future—whatever you want to know. As you
นี่แหละเรียกว่าญาณ รู้ได้ในอดีตและอนาคตพร้อม          focus down, think of what you want to  know, and it will
ด้วยปัจจุบัน จึงเป็นวิชาสำคัญอันหนึ่งเรียกว่า                    appear. This is nana—intuitive sensitivity, and important
ปัตจัตตัง รู้ได้เฉพาะตน ธาตุนั้นเปรียบเหมือนกระแส      level of awareness which only you can know for yourself.
ไฟที่แล่นอยู่ในอากาศ สติและจิตมีกำลังกล้า มีวิชา           The elements are like radio waves going through the air.
ความรู้สูง สามารถทีจะทำให้ธาตุนั้นเป็นสือสาร                                If your mind and mindfulness are strong, and if you are skilled,
สัมพันธ์ทั่วไปในโลก เป็นทางให้เกิดความรู้วิชา                               you can use those elements ton put yourself in touch with
ขึ้นในตัวเองได้เป็นอย่างดี                                                   the entire world, so that knowledge can arise within you.


ไม่มีความคิดเห็น: