อานาปานสติภาวนามัย
โดย
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์
คำปรารภ Introduction.
หนังสือเล่มนี้เรียบเรียงขึ้น
เพื่อเป็นหลักปฏิบัติ From what I have observed in my own practice, there is
ในทางสมาธิภาวนาตามที่ได้สังเกตปฏิบัติมา only one path which is short, easy, effective
and pleasant,
ที่จะให้ผลดีและสะดวก
ไม่ค่อยจะมีความหลง and
which as the same time has hardly anything
มาเจือปน
ทั้งเป็นทางที่สั้น ที่สบาย มีอยู่ทางเดียว which will lead your astray:
เท่านั้น
คือ อานาปานสติภาวนา ซึ่งสมเด็จ That
path is to keep the breath in mind, the path
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญจนบรรลุ
which the Lord
Buddha himself used
เป็นผลดีมาแล้ว with
such good results.
ในฉบับนี้ได้จัดออกเป็น
๒ ตอน ตอนที่ ๒ นั้น This book I have put together as a guide to the basic
principle
ให้ประโยชน์
ในทางกายและทางใจ ส่วนตอนที่ ๑ in
the practice of centering the mind. There are two sections:
มุ่งในทางจิตมากกว่าแต่ส่วนจิตใจจะเป็นไปได้ The second section aims at benefiting both body and
mind
โดยเรียบร้อย
ก็ต้องอาศัยกายอยุ่บ้าง while
the first deals more directly with the mind itself.
ฉะนั้น
จะเห็นว่า แบบที่ ๒ นั้นจะได้รับประโยชน์ But for the mind to develop in an orderly way depends to
some
จากทางกายจึงได้เขียนลงไว้เป็นหลักสูตร extent on the body, and thus.. since Method
2 benefits
the mind by means of the
body…. I have written
it down as a basic guide.
ขอท่านพุทธบริษัททั้งหลายอย่าได้ลังเล
I hope
that you, the reader , will not make things
ไปเอาอย่างโน้นอย่างนี้ให้ยุ่งไป
ขอให้ตั้งใจจริงๆ difficult
for yourself by being hesitant or uncertain,
จับเอาลมหายใจเหล่านี้ให้ถึงที่สุดแห่งลม
by taking
this or that teaching from here or there;
ต่อจากนั้นก็จะเข้าสู่วิปัสสนาญาณ
in
touch with your own breath and following it as the far
ก็จะลุล่วงเข้าถึงนามธรรม
คือ จิต as
it take you. From there, you will enter the stage of true
insight, leading to the mind itself.
เมื่อถึงที่สุด
พุทธะ ก็เกิด นั่นแหละจะเป็นผู้เข้าถึง Ultimately, pure knowing---‘buddha’ –
will stand out on its
คุณธรรมที่แน่นอน
คือ ปล่อยลมตามสภาพแห่งลม own.
There you will find what is of absolute value.
ปล่อยจิต
ตามสภาพแห่งจิต ผลประโยชน์ในการ i.e.
if you let the breath follow its own nature, and the
ปฏิบัติก็จะเป็นที่สมหวังของท่านทีเดียวโดยไม่ต้อง mind its own nature, the result of your practice will
สงสัย a
doubt be all that you hope for.
จริงอยู่
ธรรมดาจิตใจของคนเรา ถ้าไม่ดัดแปลงแก้ไข Ordinarily, the nature of the heart, if it isn’t trained
แล้ว ย่อมตกไปในอารมณ์ที่ทุกข์ที่ชั่ว and put into order, is
to fall in with pre-occupations
which are stressful and
bad.
ฉะนั้น
ผู้หวังความสุขแก่ตนที่มีหลักแหล่ง
ก็ควรจะต้อง Therefore,
if we hope for happiness that is stable
หาธรรมะมาฝึกตน
คนเราถ้าไม่มีธรรมะในใจ ไม่มี and
secure, we have to search for a principle--
สมาธิเป็นที่อยู่แล้ว
ก็เท่ากับคนทีไม่มีบ้านอยู่ ฉะนั้น a dhamma—with which to
train ourselves.If our hearts
If
our hearts have no inner principle, no center in which
to
dwell,we are like a person without a home.
ธรรมดาคนไม่มีบ้านอยู่ ย่อมได้รับความทุกข์ Ordinarily, a homeless person has nothing but
hardship.
ตลอดกาล
แดด ลม ฝน และละอองธุลีต่างๆ The
sun, wind, rain and dust are bound to leave him
ย่อมเปรอะเปลื้อนบุคคลชนิดนั้น
เพราะไม่มี constantly
soiled because he has nothing to act as shelter.
เครื่องปิดกั้นปิดบัง
คนที่ฝึกหัดสมาธิก็เท่ากับสร้างบ้านให้ตนอยู่ To practice entering the mind is to build a home for himself
ขณิกสมาธิ
ก็เท่ากับบ้านที่มีหลังคามุงจาก Momentary
concentration ( khanika samādhi) is like a house
roofed with thatch;
อุปจารสมาธิ
ก็เท่ากับบ้านมุงด้วยกระเบื้อง threshold concentration (
upacāra
samādhi),
a house roofed with
tile;
อัปปนาสมาธิ
เท่ากับตึก and fixed penetration ( appanā samādhi),
a house built out of brick.
เมื่อเป็นเช่นนี้
ถ้าท่านมีทรัพย์ ท่านก็จะเก็บไว้ Once you have a home, if
you have any valuables, you will
อย่างปลอดภัย
ทรัพย์เหล่านั้นก็มิได้บังคับ have
a safe place to keep them. They will not compel you to
ใจของท่านให้ไปนอนเฝ้า
นั่งเฝ้า ทนทุกข์ put
up with the hardships of watching over them,
ต่างๆ เหมือนคนที่ไม่มีบ้านเก็บ ต้องไปนอน the way a person who has no home
ตากแดดตากฝนเฝ้าทรัพย์อยู่กลางแจ้ง
ฉะนั้น in
which to keep his valuables has to go sleeping in the ---
ถึงกระนั้น
ทรัพย์เหล่านั้นก็ยังไม่ได้รับความ and
even then his valuables
ปลอดภัยแน่นหนา are
not really secure.
ในด้านพระศาสนาก็ฉันใด
ใจที่ไม่มีสมาธิ ไปแสวง So it is with the mind:
If the mind has no center, and goes
หาความดีแต่ทางอื่น
ปล่อยจิตใจให้เที่ยวไปใน searching
for good from other areas, letting its thoughts
สัญญาอารมณ์ต่างๆ
แม้จะเป็นอารมณ์ที่ดีก็ตาม wander
around in all kinds of concepts and pre-occupations,
ก็ยังไม่เชื่อว่าเป็นผู้ปลอดภัยอยู่นั้นเอง
เหมือนคน even
if those pre-occupations are good, we still cannot say
มีทรัพย์มาก
เช่น ทอง เพชรนิลจินดาต่างๆ ย่อม say
that we are safe. We are like a woman with plenty of
ไม่ปลอดภัย
อาจจะถึงแก่ความตายด้วยทรัพย์ jewelry:
If she dresses up in her jewels and goes
ของตนเองนั้นก็ได้
นี้ ฉันใด wandering
about, she is not at all safe. Her wealth might
even lead to her own death.
จิตใจของพุทธบริษัท
เมื่อไม่ได้รับการอบรม In
the same way, if our hearts are not trained through
ทางภาวนา
เพื่อสร้างความสงบขึ้นในตนแล้ว meditation
to attain stillness within, even the virtues
แม้ความดีที่ตนทำได้ก็เสื่อมง่าย เพราะยังไม่ได้เก็บ we have been able to develop will deteriorate easily,
เข้าฝังอยู่ในดวงจิตดวงใจของตนจริงๆ ถ้าใคร because they are not yet buried truly within the
heart.
ฝึกหัดปฏิบัติอบรมจิตใจจองตนให้ได้รับความสงบ To train the mind to attain stillness and peace, however,
ระงับ
ก็เท่ากับเก็บทรัพย์ของตนไว้ในตู้ในหีบ ฉะนั้น is like keeping our
valuables in a strongbox.
เหตุนั้น
คนเราโดยมากทำดีจึงไม่ได้รับผลดี This is why most of us do
good without getting good
เพราะปล่อยใจของตนให้เป็นไปด้วยอำนาจแห่ง results: We let the4 mind fall under the
sway of its
อารมณ์ต่างๆ อารมณ์เหล่านั้นย่อมเป็นข้าศึก various pre-occupations. Such pre-occupations
are
ศัตรู บางครั้งอาจจะทำให้ความดีที่มีอยู่แล้ว our enemies, because there are times when they
can be
เสื่อมไปก็ได้ เปรียบเหมือนดอกไม้ที่กำลังบาน compared to a blooming flower: If wind
and insects
ถ้ามีลมและแมลงต่างๆ มารบกวนเข้าแล้ว อาจจะ disturb the flower, it may never have a chance to give
ไม่มีโอกาสเกิดลูกเกิดผลขึ้นได้
fruit.
The flower, here, stands for magga-citta --- stillness
ดอกไม้นั้นได้แก่มรรคจิต
(จิตสงบ) ส่วนผลไม้นั้นได้แก่ of mind;
and the fruit, for phala-citta—happiness. If our
ผลจิต
(ความสุข) เมื่อมีมรรคจิต ผลจิต ประจำจิต stillness of mind and happiness are
constant, we have
ใจของตนอยู่อย่างนี้ก็มีโอกาสจะได้รับความดี a chance to attain the ultimate good that we all
hope for.
ซึ่งพุทธบริษัททั้งหลายปารถนาอยู่
คือ สารธรรม The
ultimate good is like the heartwood of a tree; other
ความดีอย่างอื่นนั้น
เปรียบเหมือนยอดไม้ กิ่งไม้ ‘good’
are like the buds, branches and leaves. If we have
ใบไม้
ต้นไม้ ถ้าเราได้อบรมในทางจิตใจ เราก็จะ not trained our hearts and minds, we
will receive only
ได้รับความดีเสมอ
ส่วนภายนอกนั้น หากภายใจจิต external
goodness. But if our hearts are good and pure
เป็นของบริสุทธิ์ดี ภายนอกก็ย่อมดีตามกันไปหมด within, everything external will become good as a result.
เช่นมือเราสะอาด
เมื่อเราจับสิ่งใด ของสิ่งนั้นก็ไม่เลอะ Just as our hand, if it is clean,
แต่ถ้ามือเราสกปรก
แม้จะไปจับผ้าที่สะอาด ผ้านั้น won’t soil what it touches,
ก็พลอยเสียไปด้วยอำนาจแห่งความเปรอะเปื้อน but if it is dirty, will spoil even
ของมือ
ฉะนั้น the
cleanest cloth;
เมื่อจิตเศร้าหมองอย่างเดียว
มันเศร้าหมองไปหมดทั้งสิ้น in
the same way, if the heart is defiled, everything is defiled:
ความดีนั้นก็ยังเศร้าหมองอยู่ เพราะอำนาจสูงสุด Event the good we do will
be defiled, because the highest .
ในโลกที่จะดี
จะชั่ว จะสุข จะทุกข์ทั้งมวล มันสำเร็จ power in the world—the sole power which gives rise
อยู่ที่จิตใจอันเดียวเท่านั้น
to all good, evil,
pleasure and pain—is the heart.
จิตใจนี้เท่ากับพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง The heart is like the
Buddha: Pain, pleasure, good and
ทุกข์
สุข ดี ชั่ว ล้วนสำเร็จมาจากจิตทั้งสิ้น evil come entirely from
heart.
ควรจะสมมติเรียกได้ว่าพระเจ้าสร้างโลกได้องค์หนึ่ง We could even call the heart a creator of the world,
เหมือนกัน
เพราะโลกจะตั้งอยู่ได้ด้วยสันติสุข because
the peace and continued well-being of the
ก็ด้วยอำนาจแห่งจิตใจนี่เอง
ฉะนั้นจึงควรที่จะอบรม world
depend on the heart. If the world to be
destroyed,
ส่วนสำคัญของโลกทั่วๆ
ไปคือจิต ให้เป็นสมาธิ
it will because of the heart. Thus, we should train this most
เพื่อให้เป็นหลักทรัพย์ไว้ในใจ
คือ สมาธิ อันเป็น
important part of the world to have a center which can act as a
เครื่องสะสมไว้ซึ่งธาตุต่างๆ ที่เรียกว่ากุศลธาตุ foundation for its wealth and wel-being. i.e. centering
คือความดี. the
mind is a way of gathering together all its
worthwhile potentials—its
virtues.
เมื่อธาตุทั้งหลายเหล่านี้ได้ผสมกับถูกส่วน When these potentials are gathered in the
right proportions,
ดีแล้ว
ก็จะเป็นกำลังของท่าน เพื่อเป็นเครื่องทำลาย they will give you the strength you need to destroy your
ซึ่งข้าศึกศัตรูต่างๆ กล่าวคือ กิเลส และบาปธรรม enemies—all your defilements and unwise qualities.
ทั้งปวง
ท่านมีปัญญาที่ได้ศึกษาไว้แล้ว ฉลาดรอบรู้ You have discernment which you have trained and made
ในทางโลกและทางธรรม
ในทางดีและทางชั่ว wise
in the ways of good and evil, of the world and the
ปัญญาของท่านเหล่านี้ก็เท่ากับดินระเบิด
แต่ท่าน dhamma.
Your discernment is like gunpowder. But if you
แต่ท่านไม่ได้อัดเข้าไปในลูกกระสุน
คือ สมาธิจิต keep
you gunpowder for long – without putting it into
ดินระเบิดของท่านนั้น
เก็บไว้นานมันจะชื้นและ bullets—i.e.
into a mind which is centered – it will go
ขึ้นราไป
ถ้าท่านเผลอ ไฟร่วงใส่ คือ ราคะ โทสะ damp and moldy. Or if you are careless, and
let the fires
โมหะ
ครอบงำแล้วขณะใด มันก็จะไหม้ดินระเบิด of greed, anger or delusion overcome you, your gunpowder
ของท่าน
แล้วมันก็จะลามถึงตัวท่านนั่นเอง ฉะนั้น may flame up in your hands. So don’t delay: Put your
ให้รีบอัดเข้าไว้ในลูกกระสุน
หรือลุกระเบิด gunpowder
into bullets so that whenever your enemies,
นั้นเสีย ถึงคราวข้าศึกศัตรูมารุกรานเข้าเมือไร your defilements, make an attack,
ก็จะวางหรือยิงซึ่งระเบิดเหล่านั้นเพื่อสังหารศัตรู you will be able to shoot
คือ
ความชั่ว ได้ในทันที them
right down.
ผู้ฝึกสมาธิย่อมได้ที่พึ่งของตน สมาธิเปรียบเหมือนเป้า Whoever trains the mind to be centered is
bound to attain
หรือหลุมเพลาะ
ปัญญาเปรียบเหมือนอาวุธ ทำสมาธิ a
refuge. A centered mind is like a fortress. Discernment
เปรียบเหมือนอัดดินเข้ากระสุนหรือฝังตัวอยู่ในป้อม is like a weapon. To practice centering the mind is to
ฉะนั้น
สมาธินี้เป็นสิ่งสำคัญและมีคุณานิสงส์มาก secure yourself in a fortress, and is
thus of great importance
ทีเดียว and
value.
ศีลเป็นเบื้องต้นแห่งมรรค
ก็ไม่ค่อยจะยากเท่าไรนัก Virtue,
the first part of the Path; and discernment, the last
ส่วนสมาธิอันเป็นท่ามกลางแห่งมรรคต้องพยายาม part, are not especially difficult. But keeping the mind
หน่อย
เพราะเป็นการบังคับให้ปรับปรุงกันในด้าน centered, which is the middle part, takes some effort,
จิตใจ จริงอยู่การทำสมาธินั้น เปรียบเหมือนปักเขา because it is a matter of forcing the mind into shape.
สะพานกลางแม่น้ำ
ย่อมเป็นสิ่งลำบาก แต่เมื่อปัก Admittedly,
keeping the mind centered—like placing bridge
ลงได้แล้ว
ย่อมเป็นประโยชน์แก่ศีลและปัญญา pilings
in the middle of a river – is something
difficult to do.
ศีลนั้นเปรียบเหมือนปักสะพานในฝั่งนี้
ปัญญา But once the mind is
firmly in place, it can be of great use
เหมือนปักสะพานข้างฝั่งโน้น แต่ถ้าเสากลางคือ in developing virtue and discernment.
Virtue is like placing
สมาธิ
ท่านไม่ปักแล้ว ท่านจะทอดสะพานข้ามแม้น้ำ placing bridge pilings on the near shore of the river;
คือ
โอฆะสงสาร ไปได้อย่างไร? Discernment,
like placing bridge piling on the far shore.
But if the middle
pilings—a centered min—are not fir, and
and in place, how will you ever
be able to bridge the
flood
of suffering?
พุทธบริษัททั้ง
๔ ผู้จะเข้าถึง พระพุทธ พระธรรม There
is only one way that the qualities of the Buddha,
พระสงฆ์โดยถูกต้องแล้ว มีหนทางช่องเดียวเท่านั้น Dhamma and Saṅgha can be properly reached, and that is
คือภาวนา
เมื่อภาวนา จนจิตสงบเป็นสมาธิได้แล้ว through
the practice of mental development(bhāvanā).
ย่อมเกิดปัญญา
ปัญญาในที่นี้ไม่ใช่ปัญญาธรรมดา When
we develop the mind so that it is centered and still,
ปัญญาที่เกิดขึ้นเฉพาะในการทำจิต
เช่น discernment
is bound to arise. Discernment, here, refers
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ not
to ordinary discernment, but to the discernment which
ญาณทั้ง
๓ นี้ ย่อมเกิดขึ้นแก่ผู้ปฏิบัติในทางจิตใจ เรียกว่า comes only from dealing directly with the mind. For example,
ญาณจักขุ คือ ตาใจ ส่วนพุทธบริษัทเหล่าใดที่ยังศึกษา the ability to remember past lives, to know where living
วิชาอยู่ในทาง
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ระคนกันอยู่ beings
are reborn after death, and to cleanse the heart of
ก็เท่ากับศึกษาวิชาอยู่กับครูทั้งหก
ยังไม่สามารถทีจะ its
fermentations(āsava): these three forms of
intuition--
รู้แจ้งเห็นจริงได้
ดังพระพุทธเจ้าที่ไปเรียนวิชากับ termed ñāṇa-cakkhu, the eye of mind—can arise for people
พวกครูทั้งหก
ก็ไม่สามารถจะตรัสรู้ธรรมได้ พระองค์ who
train themselves in the area of the heart and mind.
จึงได้หวนมาระลึกทางจิตใจ
ได้ดำเนินปฏิบัติไปด้วย But
if we go around searching for knowledge from sights,
ลำพังพระองค์เอง
ด้วยการตั้งสติกำหนดอาปานฯ เป็น sounds,
smells, tastes and tactile sensation mixed together
เบื้องต้น
จนได้บรรลุถึงที่สุด with our concepts, it is
as if we were studying with the Six Masters
was not able to gain Awakenment.He then turned his
Attention
to his own heart and mind, and went off to
Practice
on his own, starting out by keeping track of his in-and-out
breathing, and going on all the way to the
Ultimate
goal.
พุทธบริษัททั้งหลาย
เมื่อยังแสวงหาวิชาอยู่ในทาง As long as we are
searching for knowledge from our senses,
ตา หู
จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เท่ากับศึกษาวิชาอยู่กับพวก we are studying with the Six Masters. But when we set
ครูทั้ง
๖ ฉะนั้น ตราบใด มาระลึกถึงลมหายใจของตน our minds on the breath—which appears in each of us--
ซึ่งมีปรากฏอยู่ทุกรูปทุกนาม
จนกว่าจิตสงบลงเป็น to
the point where the mind settles down and is centered,
สมาธินั่นแล
จะมีโอกาสได้พบของจริงคือ พุทธะ we
will have the chance to meet with the real thing:
buddha’, pure knowing.
คนบางพวกยังเข้าใจไปต่างๆ
อยู่ เช่นเข้าใจว่า Some
people believe that they do not have to practice
สมาธิไม่ต้องทำ
ทำปัญญาเลยทีเดียว เรียกว่า centering
the mind, that they can attain release through
ปัญญาวิมุติ
การเข้าใจเช่นนี้ไม่ถูกความจริง discernment
(paññā-vimutti) by working at
discernment
ปัญญาวิมุตติ
กับ เจโตวิมุตติ สองประการนี้ ย่อมมี alone.
This simply is not true. Both release through
สมาธิเป็นรากฐานจึงจะเป็นไปได้
ต่างกันแต่จะมากหรือ discernment
and release through stillness of mind
น้อยเท่านั้น
คือ ลักษณะของปัญญาวิมุตตินั้น ครั้งแรก (ceto-vimutti) are based on centering the mind. They
ต้องมีการไตร่ตรองพินิจพิจารณา
เรื่องราวเหตุการณ์ differ only in degree.
Like walking: Ordinarily, a person
ต่างๆ เสียก่อน
จิตจึงค่อนสงบ เมื่อจิตสงบแล้วเกิด does
not walk on one leg alone. Whichever leg may be
วิปัสสนาญาณขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งจนรู้แจ้งเห็นจริงใน heavier is simply a matter of personal habits and traits.
สัจจธรรมทั้ง
๔ นี้เป็นลักษณะของปัญญาวิมุตติ Release
through discernment begins by pondering various
ส่วนเจโตวิมุตตินั้น
ไม่ต้องมีการพินิจพิจารณา events
and aspects of the world until the mind slowly comes
เท่าไรนัก
เป็นแต่ข่มจิตให้สงบลงไปถ่ายเดียว to
rest and, once it is still, gives rise intuitively to
จนกว่าเป็นอัปปนาสมาธิ
วิปัสสนาญาณก็จะบังเกิดขึ้น liberating
insight(vipassanā-ñāṇa)—clear and true perception
ในที่นั้น
และได้รู้เห็นจริงตามความเป็นจริง ที่เรียกว่า in term of the four Noble Truths (ariya sacca). In release
เจโตวิมุตติ
คือได้เจริญสมาธิก่อน แล้วค่อยเจริญปัญญา through stillness of mind, however, there is not much
ภายหลัง
วิมุตติทั้ง ๒ มีความหมายต่างกันดังนี้ pondering involved. The mind is simply forced to be
quiet
until it attains the
stage of fixed penetration. That is
where
intuitive insight will
arise, enabling it to see things for what
they are. This is release
through stillness of mind:
concentration comes
first, discernment later.
ปัญญาอันใดที่พุทธบริษัทได้ศึกษาเล่าเรียนรอบรู้ A person with a wide-ranging knowledge
ในพุทธวจนะพร้อมทั้งอรรถและพยัญชนะโดย of the scriptures, well-versed in
their letter
สมบูรณ์แล้ว
ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความรู้อันกว้างขวาง and meaning, capable of clearly
สามารถที่จะชี้แจงอรรถาธิบายในข้ออรรถ and correctly explaining various points of
doctrine,
ข้อธรรมได้เรียบร้อยชัดเจน
แต่ไม่บำเพ็ญสมาธิ but who has not developed
an inner center for the mind,
ให้เกิดมีขึ้นในตน
ก็เปรียบประหนึ่ง บุคคล
can be compared to a person flying about in airplane with
ทีขับขี่เครื่องบินไปในอากาศ
สามารถจะมองเห็น
a clear view of the clouds and stars
เมฆและเดือนดาวได้โดยชัดเจน แต่เครื่องบิน but no sense of where
ทีตนขับขี่อยู่นั้น
ได้เที่ยวเร่ร่อนไปบนอากาศ
the landing strip is.
จนลืมสนามที่จะร่อนลง
ก็น่าจะลำบากหนักใจอยู่
Such a person is in for trouble.
ถ้าร่อนขึ้นไปข้างบน
ก็จะหมดอากาศหายใจ มั่วแต่ If
he flies higher, he will run out of air.
ร่อนไปร่อนมาอยู่
น้ำมันอันเป็นเชื้อเพลิงก็จะหมดสิ้น All
he can do is fly around and about.
ในที่สุดก็จะเผ่นลงมาด้วยอำนาจแห่งความหมดกำลัง Eventually, he will run out of fuel,
ของตน
เผ่นลงมาบนเขา เผ่นลงมาในป่า เผ่นลงในทะเล and with his energy all used up, will come crashing
ซึ่งไม่ใช่สนามบิน
ย่อมได้รับโทษ down
in the savage wilds.
เช่น
คนบางพวกที่มีความรู้สูง แต่มีความประพฤติเหมือน Some people, though they
are highly educated, are no
คนป่า
คนดง คนเขา คนทะเล ซึ่งเป็นชาวประมง better
than savages in their behavior. This is because
อย่างนี้ก็มี
นี่ก็เพราะเพลินอยู่บนอากาศ นักปราชญ์ they have gotten carried away, up in the clouds, some
บัณฑิตผู้ติดอยู่ในความรู้ความเห็นของตัวว่าเป็นของ people—taken with what they feel to be the high level of
สูงสุดอยู่แล้ว ไม่ก่อสร้างบำเพ็ญสมาธิให้เกิดขึ้น ถือ their own learning, ideas and opinions—will not practice
เสียว่า
สมาธิเป็นขั้นต่ำ ควรเจริญ ปัญญาวิมุตติ centering the mind because they feel it beneath
them,
อย่างเดียว
ย่อมได้รับโทษ เหมือนคนขับขี่เครื่องบิน thinking that they deserve to go straight to release through
ที่ร่อนอยู่กลางอากาศ
ไม่แลเห็นสนาม ฉะนั้น discernment
instead. Such people are headed for trouble,
Like
the person in the airplane who has lost sight of the
landing
strip.
ผู้บำเพ็ญสมาธิก็เท่ากับเป็นผู้สร้างสนามบินไว้อย่างดี To practice centering the mind is to build a landing strip
เมื่อมีปัญญาก็จะมาถึงวิมุตติอันปลอดภัย
for
yourself. Then, when discernment comes, you will
be able to attain release
safely.
อีกนัยหนึ่งเช่นเดียวกันคนเดินทาง
ย่อมเดินขาเดียว Thus, we have to practice
all three parts of the Path--
ไม่ได้ฉะนั้นแต่จะเดินไปในทางใดก็สุดแท้แต่วิสัย virtue, concentration and discernment—if our adherence to
วาสนาของบุคคลผู้นั้นต่างหาก
the
Buddha’s teachings is to be up to standard. Otherwise,
ฉะนั้น
พุทธบริษัทควรจะบำเพ็ญใน ศีล how
can we say that we know the four Noble Truths--
สมาธิ
และปัญญาให้ครบถ้วน จึงจะเป็นผู้สมบูรณ์ด้วย because the Path has to
be composed of virtue,
การนับถือพระพุทธศาสนา
มิฉะนั้น จะเรียกว่าเป็น concentration
and discernment if it is to qualify as the
ผู้รู้อริยสัจ
๔ ได้อย่างไร เช่น มรรค ก็ต้องมี ศีล สมาธิ Truth of the Path. If we do not know, how can we let go?
ปัญญา
จึงจะเรียกว่า มรรคสัจจ์ เมื่อไม่ทำให้เกิดขึ้น
ในตนก็ย่อมไม่รู้
เมื่อไม่รู้จะละได้อย่างไร
โดยมากธรรมดาคนเราชอบแต่ผล
ไม่ชอบเหตุ Most of us, by and large,
like results, but we do not like
เช่นต้องการแต่ความดี
ความบริสุทธิ์ แต่เหตุแห่งความดี laying
the groundwork. We may want nothing but goodness
ความบริสุทธิ์
ไม่ทำให้สมบูรณ์ ก็ย่อมจนกันอยู่เรื่อยไป and purity, but if we have not completed the groundwork,
we
will have to continue being poor. Like people who are
ตัวอย่างในทางโลก
คนทีชอบเงิน แต่ไม่ชอบทำงาน of
money but not of work: How can they be good, solid
คนเช่นนั้น
จะเป็นพลเมืองทีดีมีทรัพย์ได้ทีไหน citizen?
When they feel the pinch of poverty, they will turn
เมื่อความจนบังคับเข้าแล้วก็ย่อมทำทุจริตโจรกรรม corruption or crime. In the same way, if we aim at results
ได้ฉันใด in
the field of the religion but do not like doing the work,
พุทธบริษัทไม่ชอบเหตุแต่มุ่งผล
ก็ย่อมจนอยู่ร่ำไป we
will have to go on being poor. And as long as our
เช่นนั้น เมื่อใจจนแล้วย่อมแสวงหาความดีในทางอื่น hearts are poor, we are bound to go searching for goodness
เช่น
โลภ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ซึ่งเป็นอามิสอยู่ใน in other areas –e.g. greed, gain, status, pleasures and
praise,
โลก
มันย่อมเป็นไปทั้งๆที่รู้ๆ นั้นแหละ นี่ก็เพราะรู้ the baits of the world—even though we know better. This is
ไม่จริง
รู้ไม่จริงก็คือทำไม่จริงนั่นเอง because
we do not truly know—and to say that we do not
truly know means simply
that we are not true in what we do.
มรรคสัจจ์
ซึ่งเป็นของจริงนั้นย่อมมีอยู่เป็นธรรมดา The truth of the Path is
always true: Virtue is something
ศีลก็มีจริง สมาธิก็มีจริง ปัญญาก็มีจริง วิมุตติก็มีจริง true, concentration is something true, discernment is
แต่คนเรา ไม่จริง
จึงไม่เห็นของจริง บำเพ็ญศัลก็ไม่จริง something true, release is something true. But if we are not
ทำสมาธิก็ไม่จริง
ปัญญาก็ไม่จริง เมือเราทำไม่จริง true,
we will not meet with anything true. If we are not true
ก็ไม่ได้ของจริง
จะได้ก็ของเทียมของปลอมกัน in
practicing virtue, concentration and discernment, we will
เท่านั้น
เมื่อใช้ของเทียมของปลอมย่อมได้รับโทษ end up only with things that are not true. i.e. fake and
Imitation,
we are headed for trouble.
ฉะนั้น
พวกเราควรที่จะต้องแสดงความจริงให้ปรากฏ Thus, we have to be true in our hearts: When our hearts
ขึ้นในใจของตนเอง
เมือความจริงปรากฏก็จะได้ are
true, we will come to savor the taste of the Dhamma,
ดื่มรสของพระธรรม
รสของพระธรรมย่อมชนะ a
taste which surpasses all the tastes
รสของโลกทั้งหมด
of the world.
ฉะนั้น
จึงได้เรียบเรียง อานาปานสติ ๒ แบบนี้ This is why I have put
together the following two
เพื่อเป็นแนวทางต่อไป guides for
keeping the breath in mind.
สวัสดี Peace
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ Phrasuddhidhammarangseegambhiramedhajaan.
( พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร) (Phra Ajaan Lee
Dhammadharo)
วัดบรมนิวาส กรุงเทพ Wat
Boromnivas, Bangkok
พ.ศ.๒๔๙๖ 1953
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น