6 มะนัญจะ ปะชานาติ ย่อมรู้จักใจด้วย
ธัมเมจะ ปะชานาติ ย่อมรู้จักธรรมารมณ์(สิ่งพึงรู้ได้ด้วยใจ) ด้วย
ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ อนึ่ง สังโยชน์ผเครื่องผูก) ย่อมเกิดขึ้น
อุปปัชชะติ สัญโญชะนัง อาศัยใจและธรรมารมณ์ทั้ง ๒ นั้นอันใด
ตัญจะ ปะชานาติ ย่อมรู้จักอันนั้นด้วย
ยะถาจะ อะนุปปันนัสสะ สัญโญชนัสสะ อนึ่ง ความที่สังโยชน์อันยังไม่เกิดขึ้น
อุปปาโท โหติ ย่อมเกิดขึ้นได้
ตัญจะ ปะชานาติ ด้วยประการใด ย่อมรู้ประการนั้นด้วย
ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สัญโญชนัสสะ อนึ่ง ความที่ละสังโยชน์
ปะหานัง โหติ ที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ด้วยประการใด
ตัญจะ ปะชานาติ ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย
ยะถา จะ ปะหีนัสสะ สัญโญชนัสสะ อนึ่ง ความที่สังโยชน์อันตนละเสียแล้ว
อายะติง อนุปปาโท โหติ ย่อมไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ด้วยประการใด
ตัญจะ ปะชานาติ ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย
อิติ อัชฌัตตัง วา ธัมเมสุ ดังนี้
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม
ธัมมานุปัสสี วิหะระติ เป็นภายในบ้าง
พะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมเป็นภายนอกบ้าง
อัชฌัตตะพะหิทธา วา ธัมเมสั ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งภายใน
ธัมมานุปัสสี วิหะระติ ทั้งภายนอกบ้าง
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือความเกิดขึ้นในธรรมบ้าง
วะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือความเสื่อมไปในธรรมบ้าง
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือทั้งความเกิดขึ้น
ธัมเมสุ วิหะระติ ทั้งความเสื่อมไปในธรรมบ้าง
อัตถิ ธัมมาติ วา ปะนัสสะ สะติ ก็หรือสติว่าธรรมมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่
ปัจจุปัฏฐิตา โหติ เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้
ปะติสสะติมัตตายะ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยติ ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆ ในโลกด้วย
เอวัมปิ โข ภิกขะเว ภิกขุ ธัมเมสุ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรม
ธัมมานุปัสสี วิหะระติ ฉสุ ในธรรมคือายตนะภายในและอายตนะภายนอก ๖
อัชฌัตติกะพาหิเรสุ อายะตะเนสุ อย่างนี้แล
อายตนปัพพัง จบข้อกำหนดด้วยอายตนะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น