ธัมมจักกัปปวัตนสูตร Discourse on the setting in motion the wheel of truth
เอวมฺเม สุตํ
อันข้าพเจ้า (พระอานนทเถระ) ได้สดับมาแล้วอย่างนี้
Thus have I heard.
เอกํ สมยํ ภควา พาราณสิยํ วิหรติ อินิปตเต มิคทาเย
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับอยุ่ที่ป่าอิสิปตนทฤคทายวัน ใกล้เมือง พาราณสี
Once the Blessed One was staying at the Deer Sanctury in Isipatana near Baranasi.
ตตฺร โข ภควา ปญฺจวคฺคิเย ภิกฺขู อามนฺเตสิ
ในกาลนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเตือนพระภิกษุปัญจวัคคีย์ว่า
There the Blessed One addressed the Group of Five monks.
เทฺวเม ภิกฺขเว อนฺตา ปพฺพชิเตน น เสวิตพฺพา
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ที่สุดสองอย่างี้ อันบรรพชิตไม่ควรเสพ
Monks, these two extremes, should not be resorted to by one who has renounced worldly life.
ที่สุดสองอย่างเป็นไฉน ( ตรงนี้ในหนังสือสวดมนต์ของเราไม่มี)
Which two?
โย จายํ กาเมสุ กามสุขลฺลิกานุโยโค หีโน คมฺโม โปถุชฺชนิโก อนริโย อนตฺถสญฺหิโต
คือการประกอบตนให้พัวพันด้วยกาม ในกามทั้งหลายนี้ใด เป็นธรรมอันเลว เป็นเหตุให้ตั้งบ้านเรือน เป็นของคนมีกิเลสหนา ไม่ใช่ไปจากข้าศึกคือกิเลส ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ อย่างหนึ่ง
Indulgence in sensual pleasures which is base, vulgar, worldly, ignoble and unsalutary.
โย จายํ อตฺตกิลมถานุโยโค ทุกฺโข อนริโย อนตฺถสญฺหิโต
คิอการประกอบความเหน็ดเหนือยด้วยตนเหล่านี้ใด ให้เกิดทุกข์แก่ผุ้ ประกอบ ไม่ใช่ไปจากข้าศึกคือกิเลส ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ อยางหนึ่ง
And adherence to self-mortification which is painful, ignoble and unsalutary.
เอเต เต ภิกฺขเว อุโภ อนฺเต อนุปคมฺม มชฺฌิมา ปฏิปทา ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธา
จกฺขุกรณี ญาณกรณี อุปสมาย อภิญฺญาย สมฺโพธาย นิพฺพานาย สํวตฺตติ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อปฏิบัติอันเป็นกลาง ไม่เข้าไปใกล้ที่สุดสองอยางนั่นนั้น อันตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตา ทำญาณเครื่องรู้ ย่อมเป็นไป เพื่อความเข้าไปสงบระงับ เพื่อความดับ
Monks, the Middle Path which does not take recourse to both these extremes, and which produces Vision, arouses Insight, leadss to peace, to Supermundance Direct Experience, to Enlightenment and to Nibbana, has been discovered by the Truth-Bearer ( The Supermely Enlightened One).
กตมา จ สา ภิกฺขเว มชฺฌิมา ปฏิปทา ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธา จกฺขุกรณี ญาณกรณี อุปสมาย อภิญฺญาย สมฺโพธาย นิพฺพานาย สํวตฺตติ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ข้อปฏิบัติซึ่งเป็นกลางนั้นเป็นไฉน ที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตา ทำญาณเครื่องรู้ ย่อมเป็นไปเพื่อความเข้าไปสงบ ระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้ดี เพื่อความดับ
And what, Monks, is this Middle Path, discovered by the Truth-Bearer, that produces Vision, arouses Insight, leads to Peace, to Supermundane Direct Experience, to Enlightnment and to Nibbana?
อยเมว อริโย อฏฺฐงฺคิโก มคฺโค
เสยฺยถีทํ
สมฺมาทิฏฺฐิ สมฺมาสงฺกปฺโป สมฺมาวาจา สมฺมากมฺมนฺโต สมฺมาอาชีโว สมฺมาวายาโม สมฺมาสติ สมฺมาสมาธิ
ทางมีองค์ ๘ เครื่องไปจากข้าศึก คือกิเลสนี้เอง กล่าวคือ ปัญญาเห็นชอบ ความดำริชอบ วาจาชอบ การงานชอบ ความเลี้ยงชีวิตชอบ ความเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งจิตชอบ
This very Noble Eightfold Path, namely, Right Understanding, Right Thought, Right Speech, Right Action, Right Livelihood, Right Effort, Right Mindfulness, Right Concentration.
อยํ โข สา ภิกฺขเว มชฺฌิมา ปฏิปทา ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธา
จกฺขุกรณี ญาณกรณี อุปสมาย อภิญฺญาย สมฺโพธาย นิพฺพานาย สํวตฺตติ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้แล ข้อปฏิบัติซึ่งเป็นกลางนั้น ที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตา ทำญาณเครื่องรู้ ย่อมเป็นไปเพื่อความเข้าไปสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้ดี เพื่อความดับ
Monks, this, indeed, is the Middle Path, discovered by the Truth-Bearer, that produces Vision, arouses Insight, leads to Peace, to Supermundane Direct experience, to enlightenment and to Nibbana.
อิทํ โข ปน ภิกฺขเว ทุกฺขํ อริยสจฺจํ
ชาติปิทุกฺขา ชราปิ ทุกฺขา มรณมฺปิ ทุกฺขํ โสกปริเทวทุกฺขโมนสฺสุปายาสาปิ ทุกฺขา อปฺปิเยหิ สมฺปโยโค ทุกฺโข ปิเยหิ วิปฺปโยโค ทุกฺโข ยมฺปิจฺฉํ น ลภติ ตมฺปิ ทุกฺขํ สงฺขิตฺเตน ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขา
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็นี้แล เป็นทุกข์อย่างแท้จริง คือ ความเกิดก็เป็นทุกข์ ความแก่ก็เป็นทุกข์ ความตายก็เป็นทุกข์ ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจาก สิ่งที่รักทั้งหลาย เป็นทุกข์ ปราถนาอยู่ย่อมไม่ได้ แม้อันใด แม้อันนั้นก็เป็นทุกข์ โดยย่อแล้ว อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์
" Monks, this is the Noble Truth of Suffering, namely: birth is suffering, ageing is suffering, disease is suffering, death is suffering, coming in contact with the disliked is suffering, separation from the liked is suffering, not to get what one desires is suffering, in short, the five aggregates (as object) of clinging are suffering.
อิทํ โข ปน ภิกฺขเว ทุกฺขสมุทโย อริยสจฺจํ
ยายํ ตณฺหา โปโนพฺภวิกา นนฺทิราคสหคตา ตตฺรตตฺราภินนฺทินี
เสยฺยถีทํ
กามตณฺหา ภวตณฺหา ภวตณฺหา วิภวตณฺหา
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็นี้แล เป็นเหตุให้ทุกข์เกิดขึ้นอย่างจริงแท้คือ ความทะยาน อยากนี้ ทำให้มีภพอีก เป็นไปกับความกำหนัด ด้วยอำนาจความเพลิน เพลิดเพลินในอารมณ์นั้นๆ กล่าวคือ คือความทะยานอยากในอารมณ์ที่ไคร่ คือ ความทะยานอยากในความมีความเป็น คือ ความทะยานอยากในความไม่มี ไม่เป็น
"Monks, this is the Noble Truth of the Cause of suffering, namely, this very craving, which gives rise to rebirth, which is accompanied by delight and lust, now taking pleasure in this and now in that: That is, craving for sensual pleasures, craving for recurring existence and craving for annihilation.
อิทํ โข ปน ภิกฺขเว ทุกฺขนิโรโธ อริยสจฺจํ
โย ตสฺสาเยว ตณฺหาย อเสสวิราคนิโรโธ
จาโค ปฏินิสฺสคฺโค มุตฺติ อนาลโย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็นี้แล เป็นความดับทุกข์อย่างจริงแท้ คือ ความดับโดยสิ้นกำหนัด โดยไม่เหลือแห่งตัณหานั้นนั่นเทียว อันใด ความสละตัณหานั้น ความวาง ตัณหานั้น ความปล่อยตัณหานั้น ความไม่พัวพันแห่งตัณหานั้น
" Monks, this is the Noble Truth of the Cessation of Suffering: The reaminderless fading away and cessation of that very craving, abandoning it, turning away from it, freedom and detachment from it.
อิทํ โข ปน ภิกฺขเว ทุกฺขนิโรธคามินี ปฏิปทา อริยสจฺจํ
อยเมว อริโย อฏฺฐงฺคิโก มคฺโค
เสยฺยถีทํ
สมฺมาทิฏฺฐิ สมฺมาสงฺกปฺโป สมฺมาวาจา สมฺมากมฺมนฺโต สมฺมาอาชีโว สมฺมาวายาโม สมฺมาสติ สมฺมาสมาธิ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็นี้แล เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์อย่างจริงแท้ คือ ทาง มีองค์ ๘ เครืองไปจากข้าศึกคือกิเลสนี้แล กล่าวคือ
ปัญญาเห็นชอบ ความดำริชอบ วาจาชอบ การงานชอบ ความเลี้ยงชีวิตชอบ ความเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งจิตชอบ
"Monks, this is the Noble Truth of the Path leading to the cessation of suffering: That is, the Noble Eightfold Path, namely, Right Understanding, Right Thought, Right Speech, Right Action, Right Livelihood, Right Effort, Right Mindfulness, Right Concentration.
อิทํ ทุกฺขํ อริยสจฺจนฺติ เม ภิกฺขเว
ปุพฺเพ อนนุสฺสุเตสุ ธมฺเสสุ
จกฺขุ ๊ อุทปาทิ ญาณํ อุทปาทิ ปญฺญา อุทปาทิ วิชฺชา อุทปาทิ อาโลโก อุทปาทิ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้ เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่านี้เป็นทุกขอริยสัจ
Monks, with the realization: " This is the Noble Truth of suffering" there arose in me the vision of things hitherto unknown, there arose Insight, Wisdom, Penetration and Light!
ตํ โข ปนิทํ ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ปริญฺเญยฺยนฺติ เม ภิกฺขเว
ปุพฺเพ อนนุสฺสุเตสุ ธมฺเมสุ
จกฺขุ ํ อุทปานิ ญาณํ อุทปาทิ ปญฺญา อุทปาทิ วิชฺชา อุทปาทิ อาโลโก อุทปาทิ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟัง แล้วในกาลก่อนว่า ก็ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล ควรกำหนดรู้
Monks, with the realization: " This is the Noble Truth of suffering must be fully comprehended", there arose in me the Vision of things hitherto unknown, there arose Insight, Wisdom, Penetration and Light!
ตํ โข ปนิทํ ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ปริญฺญาตนฺติ เม ภิกฺขเว
ปุพฺเพอนนุสสุเตสุ ธมฺเมสุ
จกฺขุ ํ อุทปาทิ ญาณํ อุทปาทิ ปญฺญา อุทปาทิ วิชฺชา อุทปาทิ อาโลโก อุทปาทิ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคย ฟังแล้วในกาลก่อนว่า ก็ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล อันเราได้กำหนดรู้แล้ว
Monks, with the realization: " This Noble Truth of suffering has been fully comprehended", there arose in me the Vision of things hitherto unknown, there arose Insight, Wisdom, Penetration and Light!
อิทํ ทุกฺขสมุทโย อริยสจฺจนฺติ เม ภิกฺขเว
ปุพฺเพอนนุสฺสุเตสุ ธมฺเมสุ
จกฺขุ ๊ อุทปาทิ ญาณํ อุทปาทิ ปญฺญา อุทปาทิ วิชฺชา อุทปาทิ อาโลโก อุทปาทิ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้ เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า นี้ทุกขสมุทัยสัจ
Monks, with the realization: " This is the Noble Truth of the Cause of suffering", there arose in me the Vision of things hitherto unknown, there arose Insight, Wisdom, Penetration and Light!
ตํ โข ปนิทํ ทุกฺขสมุทโย อริยสจฺจํ ปหาตพฺพนฺติ เม ภิกฺขเว
ปุพฺเพ อนนุสฺสุเตสุ ธมฺเมสุ
จกฺขุ ๊ อุทปาทิ ญาณํ อุทปาทิ ปญฺญา อุทปาทิ วิชฺชา อุทปาทิ อาโลโก อุทปาทิ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้ เคยฟังแล้ว ในกาลก่อนว่า ก็ทุกขมสมุยอริยสัจนี้นั่นแล ควรละเสีย
Monks, with the realization : This Noble Truth of the Cause of Suffering must be abandoned", there arose in me the Vision of things hitherto unknown, there arose Insight, Wisdom, Penetration and Light!
ตํ โข ปนิทํ ทุกฺขสมุทโย อริยสจฺจํ ปหีนนฺติ เม ภิกฺขเว
ปุพฺเพ อนนุสฺสุเตสุ ธมฺเมสุ
จกฺขุ ํ อุทปาทิ ญาณํ อุทปาทิ ปญฺญา อุทปาทิ วิช่ชา อุทปาทิ อาโลโก อุทปาทิ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญานได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้ เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า ก็ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้นั่นแล อันเราละได้แล้ว
Monks, with the realization: " This Noble Truth of the cause of suffering has been abandoned", there arose in me the Vision of things hitherto unknown, ther arose Insight, Wisdom, Penetration and Light!
อิทํ ทุกฺขนิโรโธ อริยสจฺจนฺติ เม ภิกฺขเว
ปพฺเพ อนนุสฺสุเตสุ ธมฺเมสุ
จุกฺขุ ํ อุทปาทิ ญาณํ อุทปาทิ ปญฺญา อุทปาทิ วิชฺชา อุทปาทิ อาโลโก อุทปาทิ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้ เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า นี้ทุกขนิโรธอริยสัจ
Monks, with the realization: " This Noble Truth of the Cessation of suffering', there arose in me the Vision of things hitherto unknown, ther arose Insight, Wisdom, Penetration and Light!
ตํ โข ปนิทํ ทุกฺขนิโรโธ อริยสจฺจํ สจฺฉิกาตพฺพนฺติ เม ภิกฺขเว
ปุพฺเพ อนนุสสุเตสุ ธมฺเมสุ
จกฺขุ ํ อุทปาทิ ญาณํ อุทปาทิ ปญฺญา อุทปาทิ วิชฺชา อุทปาทิ อาโลโก อุทปาทิ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้ เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า ก็ทุกขนิโรธอริยสัจนี้นั้นแล ควรทำให้แจ้ง
Monks, witht the realization:" The Noble Truth of the Cessation of suffering must be realized", there arose in me the Vision of thing hitherto unknown, there arose Insight, Wisdom, Penetration and Light!
ตํ โจ ปนิทํ ทุกฺขนิโรโธ อริยสจฺจํ สจฺฉิกตนฺติ เม ภิกฺขเว
ปุพฺเพ อนนุสฺสุเตสุ ธมฺเมสุ
จกฺขุ ํ อุทปาทิ ญาณํ อุทปาทิ ปญฺญา อุทปาทิ วิชฺชา อุทปาทิ อาโลโก อุทปาทิ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้ เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า ก็ทุกขนิโรธอริยสัจนี้นั้นแล อันเราได้ทำให้แจ้งแล้ว
Monks, with the realization:"This Noble Truth of the Cessation of suffering has been realised", there arose in me the Vision of thing hitherto unknown, there arose Insight, Wisdom, Penetration and Light!
อิทํ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฏิปทา อริยสจฺจนฺติ เน ภิกฺขเว
ปุพฺเพ อนนุสฺสุเตสุ ธมฺเมสุ
จกฺขุ ํ อุทปาทิ ญาณํ อุทปาทิ ปญฺญา อุทปาทิ วิชฺชา อุทปาทิ อาโลโก อุทปาทิ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ
Monks, with the realization:" This is the Noble Truth of the Path leading to the Cessation of suffering", there arose in me the Vision of things hitherto unknown, there arose Insight, Wisdom, Penetration and Light!
ตํ โข ปนิทํ ทุกฺขนิโรธคามินีปฏิปทา อริยสจฺจํ ภาเวตพฺพนฺติ เม ภิกฺขเว
ปุพฺเพ อนนุสฺสุเตสุ ธมฺเมสุ
จกฺขุ ํ อุทปาทิ ญาณํ อุทปาทิ ปญฺญา อุทปาทิ วิชฺชา อุทปาทิ อาโลโก อุทปาทิ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ไดเคย ฟังแล้วในกาลก่อนว่า ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้แล ควรให้เจริญ
Monks, with the realization:" This Noble Truth of Path leading to the Cessation of suffering must be developed", there arose in me the Vision of things hitherto unknown, there arose Insight, Wisdom, Penetration and Light!
ตํ โข ปนิทํ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฏิปทา อริยสจฺจนฺติ เม ภิกฺขเว
ปูพฺเพ อนนุสฺสุเตสุ ธมฺเมสุ
จกฺขุ ํ อุทปาทิ ญาณํ อุทปาทิ ปญฺญา อุทปาทิ วิชฺชา อุทปาทิ อาโลโก อุทปาทิ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคย ฟังแล้วในกาลก่อนว่า ก็ทุกขนิโรธตามินีปฏิปทาอริยสัจนี้นั้นแล อันเราเจริญแล้ว
Monks, with the realization:" This Noble Truth of the Path leading to the Cessation of suffering has been developed", there arose in me the Vision of things hitherto unknown, there arose Insight, Wisdom, Penetration and Light!
ยาวกีวญฺจ เม ภิกฺขเว อิเมสุ จตูสุ อริยสจฺเจสุ
เอวนฺติปริวฏฺฏํ ทฺวาทสาการํ ยถาภูตํ ญาณทสฺสนํ น สุวิสุทฺธํ อโหสิ
เนว ตาวาหํ ภิกฺขเว สเทวเก โลเก สมารเก สพฺรหฺมเก
สสฺสมณพฺพราหฺมณิยา ปชาย สเทวมนุสฺสาย
อนุตฺตรํ สมฺมาสมฺโพธึ อภิสมฺพุทฺโธ ปจฺจญฺญาสึ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงแล้วอย่างไร ในอริยสัจ ๔ นี้ของเรา ซึ่งมีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ อย่างนี้ ยังไม่หมดจดเพียงไร
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราได้ยืนยันตนว่า เป็นผู้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะซึ่งปัญญาเครืองตรัสรู้ชอบ ไมมีความตรัสรู้อื่นจะยิ่งกว่าในโลก เป็นไปกับด้วยเทพดา มาร พรหม ในหมูสัตว์ ทั้งสมณพราหมณ์ เทพดา มนุษย์ ไม่ได้เพียงนั้น
Monks, until my Insight and Vision of these Four Noble Truths, in three modes and twelve ways, had become absolutely perfect and in accordance with Reality, not till then, Monks, did I make known to the world, with its monks and priests, kings and men, its deities, mara gods and brahama divinities that I had discovered the summit state of Supreme Enlightenment.
ยโต จ โข แม ภิกฺขเว มิเสสุ จตูสุ อริยสจฺเจสุ
เอวนฺติปริวฏฺฏํ ทฺวาทสาการํ ยถาภูตํ ญาณทสฺสนํ สุวิสุทฺธํ อโหสิ
อถาหํ ภิกฺขเว สเทวเก โลเก สมารเก สพูรหฺมเก
สสฺสมณพูราหฺมณิยา ปชาย สเทวมนุสฺสายะ
อนุตฺตรํ สมฺมาสมฺโพธึ อภิสมฺพุทฺโธ ปจฺจญฺญาสึ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก้เมือใดแล ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงอย่างไรในอริยสัจ ๔ เหล่านี้ ของเรา ซึ่งมีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ อย่างนี้หมดจดดีแล้ว เมื่อนั้น เราจึงได้ยืนยัน ตนว่าเป็นผู้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะ ซึ่งปัญญาเครืองตรัสรู้ชอบ ไม่มีความตรัสรู้อื่นยิ่งกว่า ในโลก เป็นไปกับด้วยเทพดา มาร พรหม ในหมูสัตว์ มนุษย์ ทั้งสมณพราหมณ์ เทพดา มนุษย์
But monks, when my Insigth and Vision of these Four Noble truths, in three modes and twelve ways, had become absolutely perfect and in accordance with Reality, only then, monks, did I make known to the world with its monks and priests, kings and men, its deities, mara gods and brahma divinities that I had discovered the summit state of Supreme Enlightenment.
ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ
อกุปฺปา เม วิมุตฺติ
อยมนฺติมา ชาติ
นตฺถิทานิ ปุนพฺภโวติ
ก็แล ปัญญาอันรู้เห็นได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ว่าความพ้นวิเศษของเราไม่กลับกำเริบ ชาตินี้ เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีภพอีก
Indeed, the Insight and Vision arose in me that unshakable is the deliverance of my mind. This is the last birht. Now ther is no more rebirth!
อิทมโวจ ภควา
อตฺตมนา ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทุ ํ
พระผุ้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสธรรมปริยายนี้แล้ว ภิกษุปัญจวัคคีย์ก็มีใจยินดี เพลินภาษิต ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
Thus spoke the Blessed One. Inspired, the Group of Five monks rejoiced at the words of the Blessed One.
อิมสฺมิญฺจ ปน เวยฺยากรณสฺมึ ภญฺญมาเน
อายสฺมโต โกณฺฑญฺญสฺส วิรชํ วีตมลํ ธมฺมจกฺขุ ํ อุทปาทิ
ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมนฺติ
ก็แลเมื่อเวยยากรณ์นี้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอยู่ จักษุในธรรม อันปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดแล้วแก่พระผู้มีอายุโกณฑัญญะ ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีอันเกิดขึ้น เป็นธรรมดา สิ่งทั้งปวงนั้น มีอันดับไปเป็นธรรมดา
When this Discourse was delivered, the unsullied and stainless Vision of Truth arose in the Venerable Kondanna: " Whatever is subject to arising, all that is subject to ceasing."
ปวตฺติเต จ ภควา ธมฺมจกฺเก ภูมฺมา เทวา สทฺทมนุสฺสาเวสุ ํ
เอตมฺภควตา พาราณสิยํ อิสิปตเน มิคทาเย อนุตฺตรํ ธมฺมจกฺกํ ปวตฺติตํ
อปฺปฏิวตฺติยํ สมเณน วา พฺราหฺมเณน วา เทเวน วา มาเรน วา พฺรหฺมุนา วา เกนจิ วา โลกสฺมินฺติ
ก็ครั้นเมื่อธรรมจักร อันพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เป็นไปแล้ว เหล่าภุมมเทพดา ก็ยัง เสียงให้บันลือลั่น ว่านั้นจักร คือ ธรรม ไม่มีจักรอื่นสู้ได้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้เป็นไปแล้ว ทีป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ไกล้เมืองพาราณสี อันสมณพราหมณ์ เทพดา มาร พรหม และใครๆ ในโลกยังให้เป็นไปไม่ได้ ดังนี้
With the Wheel of Truth thus set in motion by the Blessed One, the Earth-bound ( Bhumma) Deities proclaimed in one voice, " This incomparable Wheel of Truth has been set in motion by the Blessed One at the Deer Sacntuary in Isipatana near Baranasi which cannot be reversed by anybody in the world, whether a monk, a priest, a deity, a mara god or a brahma divinity."
ภูมฺมานํ เทวานํ สทฺทํ สุตฺวา
จาตุมฺมหาราชิกา เทวา สทฺทมนุสฺสาเวสุ ํ
(เอตมฺภควตา พาราณสิยํ อิสิปตเน มิคทาเย อนุตฺตรํ ธมฺมจกฺกํ ปวตฺติตํ
อปฺปฏิวตฺติยํ สมเณน วา พฺราหฺมเณน วา เทเวน วา มาเรน วา พฺรหฺมุนา วา เกนจิ วา โลกสฺมินฺติ)
เทพเจ้าเหล่าชั้นจาตุมมหาราช ได้ฟังเสียงของเทพเจ้า เหล่าภุมมเทพดาแล้ว ก็ยังเสียงให้บันลือลั่น
(ว่านั้นจักร คือ ธรรม ไม่มีจักรอื่นสู้ได้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้เป็นไปแล้ว ทีป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ไกล้เมืองพาราณสี อันสมณพราหมณ์ เทพดา มาร พรหม และใครๆ ในโลกยังให้เป็นไปไม่ได้ ดังนี้)
Having heard this proclamation of the Bhumma deities, the Four Rregentt Deities( Catummaharajika) proclaimed inonce voice, " This incomparable Wheel of Truth has been set in motion by the Blessed One at the Deer Sanctuary in Isipatana near Baranasi which cannot be reversed by anybody in the world, whether a monk, a priest, a deity, a mara god or a brahama divinity."
จาตุมฺมหาราชิกานํ เทวนํ สทฺทํ สุตฺวา
ตาวตึสา เทวา สทฺทมนุสฺสาเวสุ ํ
(เอตมฺภควตา พาราณสิยํ อิสิปตเน มิคทาเย อนุตฺตรํ ธมฺมจกฺกํ ปวตฺติตํ
อปฺปฏิวตฺติยํ สมเณน วา พฺราหฺมเณน วา เทเวน วา มาเรน วา พฺรหฺมุนา วา เกนจิ วา โลกสฺมินฺติ)
เทพเจ้าเหล่าชั้นดาวดึงส์ ได้ฟังเสียงของเทพเจ้า เหล่าชั้นจาตุมหาราชแล้ว ก้ยังเสียงให้บันลือลั่น
(ว่านั้นจักร คือ ธรรม ไม่มีจักรอื่นสู้ได้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้เป็นไปแล้ว ทีป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ไกล้เมืองพาราณสี อันสมณพราหมณ์ เทพดา มาร พรหม และใครๆ ในโลกยังให้เป็นไปไม่ได้ ดังนี้)
Having heard this proclamation of the Catummaharajika deities, the Group of Thrity-three-Deities ( Tavatimsa) proclaimed in one voice, " This incomparable Wheel of Truth has been set in motion by the Blessed One at the Deer Sanctuary in Isipatana near Baranasi which cannot be reversed by anybody in the world, whether a monk, a priest, a deity, a mara god or a brahma divinity."
ตาวตึสานํ เทวานํ สทฺทํ สุตฺวา
ยามา เทวา สทฺทมนุสฺสาเวสุ ํ
(เอตมฺภควตา พาราณสิยํ อิสิปตเน มิคทาเย อนุตฺตรํ ธมฺมจกฺกํ ปวตฺติตํ
อปฺปฏิวตฺติยํ สมเณน วา พฺราหฺมเณน วา เทเวน วา มาเรน วา พฺรหฺมุนา วา เกนจิ วา โลกสฺมินฺติ)
เทพเจ้าเหล่าชั้นยามะ ได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าชั้นดาวดึงส์แล้ว ก็ยังเสียงให้บันลือลั่น
(ว่านั้นจักร คือ ธรรม ไม่มีจักรอื่นสู้ได้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้เป็นไปแล้ว ทีป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ไกล้เมืองพาราณสี อันสมณพราหมณ์ เทพดา มาร พรหม และใครๆ ในโลกยังให้เป็นไปไม่ได้ ดังนี้)
Having hear this proclamation of the Tavatimsa deities, the Deities-Wielding-Sway-ver-the Under-world (Yama) proclaimed in one voice," This incomparable Wheel of Truth hgas been set in motion by the Blessed One at the Deer Sanctuary in Isipatana near Baranasi which cannot be reversed by anybody in the world, whther a monk, a priest, a deity, a mara god or a brahma divinity."
ยามานํ เทวนํ สทฺทํ สุตฺวา
ตุสิตา เทวา สทฺทมนุสฺสาเวสุ ํ
(เอตมฺภควตา พาราณสิยํ อิสิปตเน มิคทาเย อนุตฺตรํ ธมฺมจกฺกํ ปวตฺติตํ
อปฺปฏิวตฺติยํ สมเณน วา พฺราหฺมเณน วา เทเวน วา มาเรน วา พฺรหฺมุนา วา เกนจิ วา โลกสฺมินฺติ)
เทพเจ้าเหล่านั้นดุสิต ได้ฟังเสียงของเทพเจ้า เหล่าชั้นยามะแล้ว ก็ยังเสียงให้บันลือลั่น
(ว่านั้นจักร คือ ธรรม ไม่มีจักรอื่นสู้ได้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้เป็นไปแล้ว ทีป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ไกล้เมืองพาราณสี อันสมณพราหมณ์ เทพดา มาร พรหม และใครๆ ในโลกยังให้เป็นไปไม่ได้ ดังนี้)
Having heard this proclamation of the Yama deities, the Happy Deities (Tusita) proclaimed in one voice,"This incomparable Wheel of Truth has been set in motion by the Blessed One at the Deer Sanctuary in Isipatana near baranasi which cannot be reversed by anybody in the world, whether a monk, a priest, a deity, a mara god or a brahma divinity."
ตุสิตานํ เทวานํ สทฺทํ สุตฺวา
นิมฺมานรตี เทวา สทฺทมนุสฺสาเวสุ ํ
(เอตมฺภควตา พาราณสิยํ อิสิปตเน มิคทาเย อนุตฺตรํ ธมฺมจกฺกํ ปวตฺติตํ
อปฺปฏิวตฺติยํ สมเณน วา พฺราหฺมเณน วา เทเวน วา มาเรน วา พฺรหฺมุนา วา เกนจิ วา โลกสฺมินฺติ)
เทพเจ้าเหล่าชั้นนิมานรดี ได้ฟังเสียงของเทพเจ้า เหล่าชั้นดุสิตแล้ว ก็ยังเสียงให้บันลือลั่น
(ว่านั้นจักร คือ ธรรม ไม่มีจักรอื่นสู้ได้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้เป็นไปแล้ว ทีป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ไกล้เมืองพาราณสี อันสมณพราหมณ์ เทพดา มาร พรหม และใครๆ ในโลกยังให้เป็นไปไม่ได้ ดังนี้)
Having heard this proclamation of the Tusita deities, the Delivhting-in- creativity Deities ( Nimmanarati) proclaimed in one voice," This incomparable Wheel of Truth has been set in motion by the Blessed One at the Deer Sanctuary in Isipatana near Baranasi which cannot be reversed by anybody in the world, whether a monk, a priest, a deity, a mara god or a brahma divinity."
ปรนิมฺมิตวสวตฺตีนํ เทวนํ สทฺทํ สุตฺวา
พฺรหฺมกายิกา เทวา สทฺทมนุสฺสาเวสุ ํ
เอตมฺภควตา พาราณสิยํ อิสิปตเน มิคทาเย อนุตฺตรํ ธมฺมจกฺกํ ปวตฺติตํ
อปฺปฏิวตฺติยํ สมเณน วา พฺราหฺมเณน วา เทเวน วา มาเรน วา พฺรหฺมุนา วา เกนจิ วา โลกสฺมินฺติ
เทพเจ้าเหล่าที่เกิดในหมู่พรหม ได้ฟังเสียงของเทพเจ้า เหล่าชั้นปรนิมมิตวสวัดดีแล้ว ก็ยังเสียงให้บันลือลั่น (ว่านั้นจักร คือ ธรรม ไม่มีจักรอื่นสู้ได้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้เป็นไปแล้ว ทีป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ไกล้เมืองพาราณสี อันสมณพราหมณ์ เทพดา มาร พรหม และใครๆ ในโลกยังให้เป็นไปไม่ได้ ดังนี้)
Having heard this proclamation of the Nimmanarati deities, the Deities- Holding-Sway-over-Other's -Creativity ( Paranimmita Vasavatti) proclaimed in one voice," This incomparable Wheel of Truth has been set in motion by the Blessed One at the Deer Sanctuary in Isipatana near Baranasi which cannot be reversed by anybody in the world, whether a monk, a priest, a deity, a mara god or a brahama divinity."
อิติห เตน ขเณน เตน มุหุตฺเตน
ยาว พูรหฺมโลกา สทฺโท อพฺภูคจฺฉิ
อยญฺจ ทสสหสฺสี โลกธาตุ
สงฺกมฺปิ สมฺปกมฺปิ สมฺปเวธิ
โดยขณะครู่เดียวเท่านั้น เสียงขึ้นไปถึงพรหมโลก ด้วยประการฉะนี้ ทั้งหมื่นโลกธาตุ ได้หวันไหวสะเทือนสะท้านลั่นไป
Thus, in a flash, promptly and instantly, this message went forth up to the world of the Brahama gods. And indeed this entire universe of ten thousand world-systems quaked, trembled and shook.
อปฺปมาโร จ โอฬาโร โอภาโส โลเก ปาตุรโหสิ
อติกฺกมฺเมว เทวนํ เทวนุภาวํ
ทั้งแสงสว่างอันยิ่งไม่มีประมาณได้ปรากฏแล้วในโลก ล่วงเทวานุภาพ ของเทพดาทั้งหลาย เสียหมด
Lo! A boundless and sublime illumination manifested over the world, surpassing even the radiance of the gods.
อถโข ภควา อุทานํ อุทาเนสิ
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเปล่งอุทานว่า
Then the Blessed One breathed forth this joyous untterance:
อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ
อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญติ
ว่า โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ ผู้เจริญ โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ ผู้เจริญ
" Indeed Knodanna, you have realised! Indeed, Kondanna, you have realised!"
อิติหิทํ อายสฺมโต โกณฺฑญฺญสฺส
อญฺญาโกณฺฑญฺโญเตฺวว นามํ อโหสีติ
เพราะเหตุนั้น นามว่า อัญญาโกณฑัญญะนี้นั้นเทียว ได้มีแล้วแก่พระผู้มีอายุโกณฑัญญะ ด้วยประการฉะนี้แล
It was thus that Venerable Kondanna came to be called' Kondanna-the-wise.
จบ ended
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น