วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ภิกขุอปริหาริยธัมมสูตร


ภิกขุอปริหาริยธัมมสูตร
เอวัม เม สุตัง.                                                   ข้าพเจ้า(พระอานนทเถระ) ได้สดับมาแล้วอย่างนี้ว่า
เอกัง สะมะยัง ภะคะวา.                                   สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า
ราชะคะเห วิหะระติ.                                        ประทับอยู่ กรุงราชคฤห์
คิชฌะกูเฏ ปัพพะเต.                                        บนภูเขาคิชฌกูฏ
ตัตระโข ภะคะวา ภิกขู อามันเตสิฯ                  ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเตือนภิกษุทั้งหลายว่า
สัตตะ ภิกขะเว อะปะริหานิเย ธัมเม                 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตจักแสดงอปริหานิยธรรม
เทเสสสามิ.                                                       แก่เธอทั้งหลาย
ตัง สุณาถะ สาธุกัง มะนะสิกะโรภะ                  เธอทั้งหลาย
ภาสิสสามีติ,                                                     จงฟัง
เอวัมภันเตติ โข เต ภิกขู ภะคะวะโต                 ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นทูลรับว่า
ปัจจัสโสสุง,                                                     พร้อมแล้วพระเจ้าข้า
ภะคะวา เอตะทะโวจะ ,                                    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระดำรัสต่อไปนี้
กะตะเม จะ ภิกขะเว สัตตะ                               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อปริหานิยธรรม ๗
อะปะริหานิยา ธัมมา .                                      เป็นไฉน?
1 ยาวะกีวัญจะ ภิกขะเว ภิกขู,                          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
อะภิณหะสันนิปาตา ภวิสสันติ                         ก็ภิกษุทั้งหลายยังจักประชุมกันเนืองๆ            
สันนิปาตะพะหุลา,                                          จักประชุมกันอยู่มาก ตลอดกาลเพียงไร
ุฑฒิเยวะ ภิกขะเว ภิกขูนัง                             ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว
ปาฏิกังขา โน ปะริหานิ,                                   หาความเสื่อมมิได้
2  ยาวกีวัญจะ ภิกขะเว ภิกขู,                           ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
สะมัคคา สันนิปะตัสสันติ,                               ก็ภิกษุทั้งหลายยังจักพร้อมเพรียงกันประชุม
สะมัคคา วุฏฐะหิสสันติ,                                  จักพร้อมเพรียงกันเลิกประชุม
สะมัคคา สังฆะกะระณียานิ กะริสสันติ,           จักพร้อมเพรียงกันทำกิจที่สงฆ์พึงกระทำ
ตลอดกาลเพียงไร
วุฑฒิเยวะ ภิกขะเว ภิกขูนัง ปาฏิกังขา             ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว
โน ปะริหานิ.                                                    หาความเสื่อมมิได้
3  ยาวะกีวัญจะ ภิกขะเว ภิกขู,                         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลาย ยังจักไม่บัญญัติ
อะปัญญัตตัง นะ ปัญญะเปสสันติ,                   สิ่งที่ตถาคตมิได้บัญญัติไว้ จักไม่เพิกถอนสิ่งที่ตถาคต
ปัญญัตตัง นะ สะมุจฉินทิสสันติ,                     บัญญัติไว้แล้ว ยังจักสมาทานอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย
ยะถาปัญญัตเตสุ สิกขาปะเทสุ                         ตามที่ตถาคตบัญญัติไว้แล้ว
สะมาทายะ วัตติสสันติ,                                   ตลอดกาลเพียงไร
วุฑฒิเยวะ ภิกขะเว ภิกขูนัง                             ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว
ปาฏิกังขา โน ปะริหานิ.                                   หาความเสื่อมมิได้
4  ยาวะกีวัญจะ ภิกขะเว ภิกขู,                         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลาย ยังจักสักการะ
เย เต ภิกขู เถรา รัตตัญญู จิระปัพพะชิตา,        และเคารพ นับถือ บูชา พระภิกษุทั้งหลายผู้เป็นเถระ
สังฆะปิตะโร สังฆะปะริณายะกา,                    ผู้รู้กาลนาน ผู้บวชมาแล้วนาน ผู้เป็นบิดาของสงฆ์
เต สักกะรัสสันติ คะรุกะริสสันติ                      เป็นปรินายกของสงฆ์
มาเนสสันติ ปูเชสสันติ,                                   และยังจักเชื่อถือโอวาทที่พึงฟังของท่านด้วย
เตสัญจะ โสตัพพัง มัญญิสสันติ ,                     ตลอดกาลเพียงไร
วุฑฒิเยวะ ภิกขะเว ภิกขูนัง                             ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว
ปาฏิกังขา โน ปะริหานิ.                                   หาความเสื่อมมิได้
5 ยาวกีวัญจะ ภิกขะเว ภิกขู,                            ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลาย ยังจัก
อุปปันนายะ ตัณหายะ โปโนพภะวิกายะ          ไม่ลุอำนาจของตัณหา อันมีปกติให้เกิดในภพใหม่
โน วะสัง คัจฉิสสันติ,                                       ที่เกิดขึ้นตลอดกาลเพียงไร
วุฑฒิเยวะ ภิกขะเว ภิกขูนัง                             ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว
ปาฏิกังขา โน ปะริหานิ.                                   หาความเสื่อมมิได้
6  ยาวกีวัญจะ ภิกขะเว ภิกขู,                           ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลาย ยังเป็นผู้มีความ
อารัญญะเกสุ เสานาสะเนสุ                              ห่วงใยในเสนาสนะตามราวป่า
สาเปกขา ภวิสสันติ,                                         ตลอดกาลเพียงไร
วุฑฒิเยวะ ภิกขูนัง ปาฏิกังขา โน ปะริหานิ.     ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว
หาความเสื่อมมิได้
7  ยาวกีวัญจะ ภิกขะเว ภิกขู,                           ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลายยังจักเข้าไป
ปัจจัตตัญเญวะ สะติง อุปัฏฐะเปสสันติ,          ตั้งสติไว้เฉพาะตนว่า ทำอย่างไร เพื่อนพรหมจารี
กินติ อะนาคะตา จะ เปสะลา สะพฺรัมหฺจารี      ทั้งหลายผู้มีศีลเป็นที่รัก  ที่ยังไม่มา ขอให้มา
อาคัจเฉยยุง อาคะตา จะเปสะลา                      และเพื่อนพรหมจารีทั้งหลายผู้มีศีลเป็นทีรัก ที
สะพฺรัหฺมะจารีผาสุง วิหะเรยยุนติ,                   มาแล้วขอให้อยู่สบาย ดังนี้  ตลอดกาลเพียงไร
วุฑฒิเยวะ ภิกขูนัง ปาฏิกังขา โน ปะริหานิ.     ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว
หาความเสื่อมมิได้
ยาวกีวัญจะ ภิกขะเว อิเม สัตตะ                       ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อปริหานิยธรรม ประการ
อะปะริหานิยาธัมมา ภิกขูสุ ฐัสสันติ                 เหล่านี้ยังจักตั้งอยู่ในภิกษุทั้งหลาย
อิเมสุ จะ สัตตะสุ อะปะริหานิเยสุ ธัมเมสุ         และภิกษุทั้งหลายยังจักเห็นดีร่วมกันใน
ภิกขู สันทิสสิสสันติ,                                        อปริหานิยธรรม๗ ประการเหล่านี้ ตลอดกาลเพียงไร
วุฑฒิเยวะ ภิกขูนัง ปาฏิกังขา โน ปะริหานีติ.  ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว
หาความเสื่อมมิได้
อิทะมะโวจะ ภะคะวา                                       พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระสูตรนี้จบลงแล้ว  อัตตะมะนา เต ภิกชู ภะคะวะโต ภาสิตัง,                           ภิกษุเหล่านั้นมีใจยินดี เพลิดเพลินนักซึ่งภาษิตของ
อะภินันทุนติ.                                                   พระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยประการฉะนี้แล

ไม่มีความคิดเห็น: