วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เจ้าหนีใหญ่ โดย ศ.เกียรติคุณ แสง จันทรงาม




เจ้าหนีใหญ่
โดย ศ.เกียรติคุณ แสง จันทรงาม

วันหนึ่ง หลังจากเกษียณอายุราชการแล้ว 3-2 วัน ข้าพเจ้ายังรู้สึกอาวรณ์ที่ทำงานเก่า ที่ภาควิชาปรัชญาและศาสนาแห่งคณะมนุษยย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่อยู่ เพราะเคยนั่งทำงานอยู่ที่นั่นมาหลายสิบปี จึงเป็นการยากที่จะลบภาพต่างๆ ออกไปจากกระดานแห่งจิตใจได้อย่างฉับพลัน เมื่อขึ้นไปทักทายปราศรัยกับเพื่อนร่วมงานที่สำนักงานทั่วหน้ากัน รู้สึกสดชื่นแล้ว ข้าพเจ้าได้ไปนั้งใต้ต้นไม้ริมฝั่งอ่างแก้ว ณ จุดที่เงียบสงัด ไม่มีคนเดินไปเดินมา แล้วก็รำพึงกับตัวเองว่า วันเวลามันช่างผ่านไปรวดเร็วจริงหนอ เผลอแผล็บเดียวเกษียณอายุราชการเสียแล้ว

เจ้าแม่ปถพี
                ขณะที่ข้าพเจ้านั่งเพลิดเพลินอยู่นั้นเอง สังเกตเห็นฟองน้ำใหญ่ปุดๆ  ขึ้นมาเหนือผิวน้ำอันราบเรียบข้างหน้าข้าพเจ้า ห่างจากชายฝั่งออกไปเพียง 3-2 เมตรเท่านั้น คิดว่า คงมีสัตว์น้ำบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ใต้น้ำ จึงมองดูต่อไปด้วยจิตจดจ่อต่อมาอีกสักครู่ มีผักตบชวากอใหญ่ ค่อยๆ โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ  ข้าพเจ้าตกใจแทบจะลุกขึ้นวิ่งหนีเมื่อได้พบว่า ภายใต้กอผักตบชวานั้น เป็นศีรษะสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่ง  ซึ่งตอนบนเป็นมนุษย์แต่ตอนล่างใต้ตาลงไปดูคล้ายๆ วัวหรือควาย  บนตัวตนของสัตว์ประหลาดนั้นปกคลุมไปด้วยแหน และพืชน้ำชนิดอื่นๆ  มันโผล่พ้นน้ำขึ้นมาครึ่งตัวแล้วก็หยุดอยู่แค่นั้น  จ้องตาอันแวววาวมันยังข้าพเจ้า
                พอได้สติ ข้าพเจ้ารีบลุกขึ้น หันหลังเตรียมจะออกวิ่งหนี เพราะเชื่อว่า เจ้าตัวประหลาดนั้นคงจะเป็นปีศาจน้ำ ที่มุ่งมาจะจับข้าพเจ้ากินเป็นอาหาร ตามเรื่องการ์ตูนที่เคยอ่านมา แต่ก่อนที่จะก้าวขาออกวิ่งรู้สึกว่ายกขาไม่ขึ้น และรู้สึกเย็น ๆ ที่ตาตุ่ม เมื่อก้มหน้าลงมองดู ข้าพเจ้าตกใจแทบเป็นลม เพราะขาของข้าพเจ้าถูกมือของสัตว์ประหลาดยึดไว้อย่างมั่นคงสลัดอย่างไรก็ไม่หลุด ทันใดนั่นเอง ข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังพูดออกมาจากข้างหลังเป็นภาษาไทยอยางชุดถ้อยชัดคำว่า
“ อาจารย์แสง..... ไม่ต้องตกใจหรอก ฉันไม่ทำอันตรายคุณหรอก”
                ข้าพเจ้ารู้สึกชื่นใจขึ้นมาบ้าง เพราะเห็นว่าอย่างน้อยที่สุด เจ้าตัวประหลาดนั้นคงรู้จักข้าพเจ้า จึงเรียกชื่อได้ถูก และสำเนียงพูดก็ไม่มีวี่แววแห่งความโหดร้ายใดๆ
                ข้าพเจ้าหันหน้าไปเผชิญกับเขาแล้วถามว่า “แกเป็นใคร ทำไมจึงรู้จักชื่อข้าฯ “
                สัตว์ประหลาดตอบด้วยเสียงสุภาพว่า
                “ อาจารย์แสง โปรดอย่าใช้คำว่า แก กับ ฉัน อย่างน้อยควรใช้คำว่า “ท่าน” กับ ฉัน เพราะว่า ฉันคือเจ้าแม่ปถพี เป็นเจ้าแห่งแผ่นดินทั้งหมด และเป็นเจ้าแห่งมนุษย์ สัตว์และพืชทั้งหลาย “
เจ้าหนีใหญ่
                ข้าพเจ้าถามว่า
                “ แล้วทำไมท่านจึงรู้จักชื่อผม”
                สัตว์ประหลาดที่เรียกตัวเองว่า เจ้าแม่ปถพี หัวเราะเบาๆ แล้วตอบว่า
                “ ฉันรู้ เพราะคุณเป็นสมบัติของฉัน อย่าว่าแต่คุณเลย มนุษย์ทุกคนในโลกนี้ ฉันก็รู้จักชื่อหมด เพราะทุกชีวิตเป็นสมบัติของฉันหมด”
                “ เป็นสมบัติของท่านได้อย่างไร ในเมื่อผมเกิดจากพ่อแม่ของผม ไม่ได้เกิดจาดแผ่นดินเลย เกิดมาแล้วก็ไม่ได้อาศัยท่านสักนิด เพียงแต่เหยียบยืนอยู่บนพื้นที่ท่านเท่านั้น นอกจากนั้นต้องต่อสู้ดิ้นรนด้วยลำแข้งของตนเองตลอด ท่านจะมาทึกทักเอาง่ายๆ ว่าผมเป็นสมบัติของท่านได้อย่างไร?” ข้าพเจ้าโต้แย้งอย่างงงๆ
                สัตว์ที่เรียกตัวเองว่าเจ้าแม่ปถพีหัวเราะหึๆ แล้วกล่าวว่า
                “ อาจารย์แสงนี่ช่างไม่รู้อะไรเอาเสียเลย...... เสียแรงที่สอนวิชาพระพุทธศาสนามาหลายสิบปี ขอให้คุณคิดทบทวนให้ดี เมื่อคุณปฏิสนธิในท้องแม่นั้น คุณเป็นเพียงหน่วยชีวิตเล็กๆ มองด้วยตาเปล่าแทบไม่เห็น ต่อมาคุณก็ค่อย ๆ โดวันโตคืนจนกลายเป็นทารกมีอวัยวะครบบริบูรณ์ พอครบ 9-8 เดือนก็คลอดออกมาเป็นทารกตัวแดง ๆ เติบโตมาตามลำดับ จนเป็นผู้ใหญ่ เป็นคนแก่ดังที่เห็นอยู่นี่ ฉันขอถามว่า อะไรทำให้อาจารย์เติบโตขึ้นมาได้ และดำรงชีวิตอยู่ได้ ณ บัดนี้?”
                คำถามเจ้าแม่ปถพี ทำให้ข้าพเจ้าคิดหนัก คิดจะตอบคำถามในแง่ไหนดี แง่ศาสนาหรือ ? แง่อภิปรัชญาหรือ? แง่วิทยาศาสตร์หรือ? ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังนั่งคิดอยู่นั้น เจ้าแม่ปถพีหัวเราะหีๆ อีกครั้งแล้วกล่าวว่า
                “ นี่แหละคือโทษของการรู้มากเกินไป เมื่อได้ยินคำถาม จึงมัวไปคิดถึงตำรับตำรา และทฤษฏีวิชาการต่างๆ จนลืมความจริงง่ายๆ ไป”
                “ ถ้าอย่างนั้น ตัวผมนี้มาจากไหนและอยู่ได้ด้วยอะไร?”
                ข้าพเจ้าแทรกถามขึ้นอย่างงง ๆ
                “ ก็มาจากอาหารที่คุณกินเข้าไปทุกวันนั่นเอง “
                แจ้แม่ปถพีเน้นเสียง
                “คิดดูซี อาจารย์แสง อาหารที่คุณกินเข้าไปทุกวันนั้น มีอะไรบ้าง? “
“ก็มีข้าว มีปลา เนื้อ ผัก ผลไม้ต่างๆ เป็นต้น”ข้าพเจ้าตอบทันที เพราะเป็นคำถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริงง่าย ๆ
“ถูกต้อง...” เจ้าแม่ปถพีตอบอย่างหนักแน่น
“ทีนี้ ลองคิดต่อไปอีกทีซิว่า ข้าวนั้นมาจากไหนเป็นเบื้องต้น”
“มาจากแผ่นดิน” ข้าพเจ้าตอบทันทีตามสามัญสำนึก ไม่อยากตอบทางวิชาการให้เจ้าแม่ปถพีต่อว่าอีก
“ถูกต้อง.....” เจ้าแม่ปถพียืนยัน
“เมื่อคุณคิดดูให้ดี คุณจะเห็นว่า ผัก ผลไม้ ปลา เนื้อ และอาหารวัตถุต่างๆ ล้วนแต่มาจากดินทั้งนั้น เมื่อคุณกินมันเข้าไป มันก็ย่อยสลายมาเป็นหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ตับ ไต ไส้ พุงของคุณ สรุปวา ตัวคุณทั้งหมดนี้มาจากแผ่นดิน แผ่นดินคือตัวฉันเป็นเจ้าของแท้ของตัวคุณ คุณเพียงแต่มายืมสมบัติของฉันใช้ชั่วระยะเวลา 90-80-70-60-50 ปี ขณะที่อยู่ในโลกนี้เท่านั้น คุณจึงเป็นลูกหนี้ของฉัน ฉันจึงเป็นเจ้าหนี้ของคุณ”
ข้าพเจ้าพิจารณาไตร่ตรองดูคำพูดของเจ้าแม่ปถพีก็เกิดแสงสว่างขึ้นมาในใจว่า คำพูดของเธอเป็นความจริงทุกประการ
ถึงเวลาใช้หนี้
                “ผมอยากถามว่าเจ้าแม่มาปรากฏตัวคราวนี้มีวัตถุประสงค์อะไรหรือ? ข้าพเจ้าถามขึ้น
                “มีวัตถุประสงค์สำคัญที่เดียว คุณฟังแล้วอย่าตกใจก็แล้วกัน อาจารย์แสง..... คุณยืมสมบัติของฉันไปใช้เป็นเวลา ๖๐ ปีแล้ว บัดนี้ถึงเวลาที่คุณจะต้องใช้หนีคืนแล้ว ฉันมาทวงหนี้ของฉันจากคุณ”
                ข้าพเจ้าตกใจเล็กน้อย เพราะการใช้หนีคืนเจ้าแม่ปถพี มันหมายถึงความตายทีเดียว แต่ข้าพเจ้าก็เลิกกลัวตายมานานแล้ว เพราะเห็นว่า ความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัว มันเป็นแต่เพียงการเปลี่ยนร่างใหม่  เปลี่ยนภพภูมิที่อยู่ใหม่เท่านั้น อีกทั้งข้าพเจ้าก็ได้ทำความดีมาพอสมควร ถ้าเกิดใหม่ อย่างต่ำที่สุดก็คงเป็นมนุษยภูมิเหมือนชาตินี้ คงไม่ถึงไปเกิดในอบายภูมิทั้ง ๔ คือ สัตว์เดียรฉาน อสุรกาย เปรต และนรก ถ้าตายตอนนี้ อีก18-17 ปี ไม่ใช่เวลาที่เนิ่นนานอะไรเลย ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น การตายเหมือนการนอนหลับไปชั่วระยะหนึ่งแล้วก็ตื่นขึ้นมาในสภาพที่ดีกว่า จึงไม่มีอะไรน่ากลัว แต่ความจริง ตอนนั้นข้าพเจ้ายังไม่อยากตาย เพราะยังมีงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวมหลายอย่างที่จะต้องทำให้สำเร็จ
ผ่อนใช้หนี้
                “ ว่าไง อาจารย์แสง.... พร้อมจะใช้หนี้หรือยัง “ เจ้าแม่ปถพีพูดขึ้น หลังจากเราทั้ง ๒ นิ่งอยู่ครู่ใหญ่
                “ความจริงผมพร้อมที่จะใช้หนี้เจ้าแม่อยู่แล้ว เพราะสมบัติของเจ้าแม่เริ่มจะทรุดโทรมแล้ว แต่ผมมีงานสำคัญอยู่ชิ้นหนึ่งที่อยากทำให้เสร็จ เพื่อพระศาสนาและประเทศขาติ   ผมอยากขอความกรุณาจากเจ้าแม่ให้ช่วยยืดเวลาใช้หนี้ออกไปอีกสักระยะหนึ่งจะได้ไห ม?”
                เจ้าแม่ปถพีนิ่งคิดอยู่ครูใหญ่แล้วพูดขึ้นว่า
                “ ฉันพิจารณาดูแล้วเห็นว่าคุณเป็นคนดี และงานที่คุณทำค้างอยู่ก็เป็นงานทีดี มีค่าแก่พระศาสนา ตกลงฉันจะผ่อนผันยืดเวลาใช้หนี้ให้ คุณต้องการเวลานานเท่าไร?”
                “ผมขอเวลาอีก ๑๐ ปี”
                “ตกลง” เจ้าแม่ตอบเสียงหนักแน่น “ เป็นอันว่าฉันอนุญาตให้คุณใช้สมบัติของฉันต่อไปอีก  ๑๐ ปี เมื่อคุณอายุได้ ๗๐ ปี ฉันจะมารับเอาสมบัตของฉันคืน แต่มีเงื่อนไขอยู่อย่างหนึ่งนะ”
                “เงื่อนไขอะไรครับ”
                “ คุณจะต้องดูแลรักษาสมบัติของฉันให้ดี อย่าทำลายมันด้วยยาพิษต่างๆ  เช่น สุรา บุหรี่ ยาเสพติด เชื้อไวรัส HIV เป็นต้น กินอาหารให้ถูกหลัก ขับถ่ายสม่ำเสมอ ออกกำลังพอสมควร พักผ่อนให้เพียงพอ หมั่นทำสมาธิ รักษาจิตใจให้สว่าง สะอาด สงบอยู่เสมอ คุณจะรับเงือนไขนี้ได้ไหม?”
                “ได้ครับ เพราะตามปกติผมก็ทำอยู่บ้างแล้ว”
                “ดีมาก” เจ้าแม่ปถพีตอบ “ พยายามรักษาเงื่อนไขให้ดี ถ้าคุณละเมิดเงือนไข ฉันจะมายึกเอาสมบัติของฉันคืนมาโดยเร็ว เพราะฉันรักและหวงแหนสมบัติของฉันมาก อย่าลืม” ว่าแล้วเจ้าแม่ปถพีก็ค่อยๆ ลดตัวลงสู่ระดับน้ำทีละน้อย จนหายตัวลับลงไปใต้ผิวน้ำ
                ข้าพเจ้าถอนหายในเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก แต่ทันใดนั้น เจ้าแม่ปถพีก็โผล่ขึ้นมาอีกแล้วกล่าวว่า
                “อาจารย์แสง ฉันห่วงสมบัติของฉันมาก อย่าได้คืนเร็วๆ แต่ก็ได้เผลอยืดเวลาให้คุณไปแล้ว ๑๐ ปี คุณจะช่วยฉันหน่อยได้ไหม คือให้ค่อยๆ ผ่อนส่งทีละน้อย จะได้ไหม?”
                “ผ่อนส่ง.... “ ข้าพเจ้าเผลอกล่าวออกมาด้วยเสียงอันดัง “หมายความว่าท่านจะให้ผมตัดนิ้วมือ นิ้วเท้า ตัดแขน ตัดขาส่งคืนให้ท่านอย่างนั้นหรือ?”
                “ไม่ใช่อย่างนั้น “ เจ้าแม่ปถพีพูดช้าๆ “ฉันไม่ใจร้ายถึงขนาดนั้นหรอกน่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าคุณปวดฟัน ก็ถอนฟันส่งคืนฉันทีละซี่สองซี่ ตอนเช้าหวีผม ถ้ามีผมร่วงติดหวีออกมาให้เอานิ้วรวบส่งคืนให้ฉัน ถ้าเล็บมือเล็บเท้ายาวออกมา ก็ตัดเสียส่งให้ฉัน เท่านี้แหละ คุณจะทำได้ไหม?”
                “ทำได้ สำหรับผมและเล็บนั้น ผมทำอยู่แล้วเป็นประจำ ส่วนฟันก็ถอนไปหลายซี่แล้ว”
                “ดีมาก “ เเจ้แม่ปถพีกล่าวเสียงหนักแน่น
บทเรียนจากเจ้าแม่ปถพี
                ขณะที่เจ้าแม่ปถพีกำลังจะลดตัวลงดำน้ำ ข้าพเจ้าเกิดคิดขึ้นมาได้ จึงรีบกล่าวขึ้นมาว่า
                “เจ้าแม่บอกว่ารักและหวงแหนสมบัติของเจ้าแม่มากมิใช่หรือ ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ดูแลรักษามันให้ดี ปล่อยให้มันชำรุกทรุดโทรมเหลือเกิน เวลานี้ ตาเสื่อมคุณภาพลงไปมาก อ่านหนังสือพิมพ์ตัวเล็กๆ แทบไม่ได้แล้ว ต้องเพ่งสายตาอ่านจนปวดตา หูชวาเริ่มตึง ฟังนักศึกษาที่ถามมาจากหลังห้องเรียนไม่ค่อยได้ยิน  จมูกก็ดมกลิ่นไม่ค่อยรู้กลิ่น เวลามีคนแอบผายลม คนอื่นเขาล่นกันขรม แต่ผมเฉยๆ  ลิ้นรับประทานอาหารไม่ค่อยมีรส เมือเท้าก็ชา ถูกต้องอะไรก็ไม่ค่อยรู้สึก  นี่มันหมายความว่าอย่างไร เจ้าแม่?”
                เจ้าแม่หัวเราะหึๆ ตามเดิม แล้วกล่าวขึ้นว่า
                “อาจารย์แสงนี่ช่างไม่รู้อะไรเอาเสียเลย  การที่ประสาทตา หู จมูก ลิ้น กาย ของคุณเสื่อมลงนั้น ฉันเองแหละเป็นคนทำ และทำด้วยความสงสารเห็นใจคุณ อยากจะช่วยเหลือคุณ  ให้คุณได้พักผ่อนสบายๆ บ้าง คุณคิดดูก็แล้วกันว่า ตลอด ๖๐ ปีที่ผ่านมา คุณต้องลำบากเหน็ดเหนื่อยเจ็บปวดเพราะตา หู จมูก ลิ้น กายมากแค่ไหน  บางครั้งตาก็ให้คุณเห็นรูปสวยๆ งามๆ หูก็ให้ได้ยินเสียงไพเราะ จมูกก็ได้ดมกลิ่นหอม ลิ้นให้คุณลิ้มรสอร่อย  กายให้คุณได้สัมผัสกับสิ่งที่สบายๆ ต่อจากนั้นคุณก็เกิดความอยากได้ อยากมี อยากเสพ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสเหล่านั้นไว้ แต่เนื่องจาก รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เป็นอนิจจัง ไม่จีรังยั่งยืน จึงไม่มีอะไรอยู่กับเราตลอดไป จึงมีโอกาสทีจะผิดหวังตลอดเวลา
                แต่ถ้าอยากได้ อยากมี อยากเสพ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสใด  เกิดไม่ได้เพราะอุปสัคขัดขวางก็เกิดความผิดหวัง เป็นทุกข์ระทมตรมใจ มากบ้างน้อยบ้าง บางรายทนทุกข์ไม่ไหว ถึงกับทำลายชีวิตตนเอง
                ถ้าได้ ถ้ามี ถ้าเป็นสมอยาก ก็เกิดความสุข ความอิ่มใจ อยู่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ เมื่อความอยากได้รับอาหารมันก็เจริญเติบโตขึ้น  เมื่อมันเจริญเติบโตขึ้นมันก็อยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากเสพ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสที่ดีพิเศษยิ่งขึ้น มันจึงบังคับให้คุณต่อสู้ดิ้นหนักขึ้นๆ ไปตามลำดับ ดังนั้น คนส่วนมากจึงตกเป็นทาสผู้ซื่อสัตย์ของนายผู้ทารุณคือความอยาก ซึ่งไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ หิวกระหายอยู่ตลอดเวลา  ในที่สุดทุกคนก็ตายด้วยความอดอยากทั้งสิ้น
                คุณเห็นหรือยังว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย นำความทุกข์ความเดือดร้อนมาให้คุณมากเพียงใด  เพราะเหตุนี้เอง พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้พระสงฆ์ผู้มุ่งปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ สำรวมอิน่ทรีย์ คือ ระวัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มิให้แส่ไปดู ไปรู้ ไปเห็น รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และมโนภาพที่จะเร้าให้เกิดความอยาก เวลาเดินไปไหนมาไหน ให้มองไปข้างหน้าชั่วระยะ ๔ ศอกเท่านั้น  คุณเป็นฆราวาส ไม่มีระเบียบวินัยสงฆ์มาบังคับให้สำรวมอินทรีย์ทั้ง ๖ แต่คุณก็ทุกข์ทรมาน วุ่นวายเพราะอินทรีย์ ๖ มานานแล้ว ฉันจึงทำให้คุณได้สำรวมอินทรีย์  โดยวิธีทำลายสมรรถภาพอินทรีย์ของคุณลงทีละน้อยๆ คุณจะได้สบายใจขึ้น”
                เมื่อข้าพเจ้าตรึกตรองตามคำแนะนำของเจ้าแม่ปถพีก็เริ่มมองเห็นว่า การที่ประสาท ตา หู จมูก ลิ้น กาย เสื่อมโทรมลงนั้น แทนที่จะเห็นเป็นโทษมหันต์กลับเห็นว่าเป็นคุณอนันต์ แต่ก็ยังสงสัยอยู่ข้อหนึ่ง จึงเอ่ยปากถามเจ้าแม่ปถพีว่า
                “ทำไมเจ้าแม่จึงทำลายสมรรถภาพทางจิตใจของผมด้วยเล่า เวลานี้สมรรถภาพทางใจของผมเสื่อมโทรมลงมาก เฉพาะอย่างยิงในด้านความจำผมลืมสิ่งของเครื่องใช้เล็กๆ น้อยๆ เช่น ลูกกุญแจ ปากกา แว่นตา นาฬิกา หนังสือ และเอกสารที่ต้องใช้ บางที่ถึงกับล้มกระเป๋าสตางค์พร้อมเอกสารมีค่าต่างๆ ในนั้น”
                เจ้าแม่ปถพี หัวเราะเบาๆ แล้วตอบวา
                “นั้นคือบทเรียนอันมีค่าที่ฉันสอนคุณ ตามธรรมดาคนในโลกนี้ เมื่อมีสมบัติสิงใด ก็มักจะยึดติดสิ่งนั้นว่าเป็นของตน (มมังการ) บางที่ถึงกับถือว่า สิ่งนั้นเป็นของตนเอง (อหังการ)  ถ้าสมบัติใดๆ หายไปจะเกิดความเสียดาย  เสียใจ ประหนึ่งวาอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งขาดหายไป บางคนซื้อรถยนต์มาใหม่ๆ เขาจะรู้สึกว่ารถยนต์นั้นเป็นส่วนหนึ่งของตนเอง ถ้ามีใครเอาของมีคมมากรีดข้างรถยนต์นั้น เขาจะรู้สึกเจ็บแสบเข้าไปในหัวใจ ประหนึ่งว่าหัวใจของตนถูกกรีด ฉันจึงสอนให้คุณลืมสมบัติเล็กน้อยไปก่อน เป็นการเตรียมใจเมือถึงคราวที่คุณจะต้องละสมบัติทั้งปวงไป”
“บางที่ผมก็ลืมชื่อคนที่เคยรู้จักกันมาเป็นอย่างดี จำหน้าเขาได้ แต่จำชื่อไม่ได้  พยายามนึกเท่าไรก็นึกไม่ออก จึงสนทนากับเขาโดยไม่ได้ทักทายชื่อ เมื่อเขาเดินจากไปแล้ว จึงนึกชื่อของเขาขึ้นมาได้  ครั้นจะวิ่งตามไปทักชื่อเขาใหม่ ก็ไม่ทันเสียแล้ว บางที่ก็นึกโกรธตนเอง”
“ นั้นก็ดีแล้ว” เจ้าแม่ปถพีพูดหัวเราะเบาๆ “ คุณก็รู้อยู่แล้วว่า ในบรรดาความรัก ความผูกพัน ความยึดมั่นถือมั่นนั้น  ไม่มีอะไรจะมาผูกมัดรัดแน่นได้เท่ากับคนที่ตนรัก เฉพาะอย่างยิ่งคือ การรักมั่นผูกพันกับสามีภรรยา และลูกหลาน ฉันจึงฝึกหัดให้คุณลืมเขาเสียบ้าง เบื้องต้นฝึกให้ลืมชื่อเขาเสียก่อนต่อไปค่อยๆ ฝึกลืมรูปร่างหน้าตาของเขา แม้แต่เห็นหน้าเขาก็จำไม่ได้ เข้าใจว่าเป็นคนอื่น ถ้าถึงขั้นนั้น จิตใจของคุณจะเบาสบายยิ่งขึ้น พร้อมทีจะไปสูปรโลกด้วยจิตที่เบาสบายและเป็นอิสรเสรี”
“ผมเข้าใจ”ข้าพเจ้ายอมรับ “ แต่ก็ยังสงสัยว่า ทำไมผมจึงทำให้ผมเจ็บปวด ตามร่างกายมากนัก  ยิ่งแก่ตัวลงก็ยิ่งเจ็บมากขึ้น  เช่น ปวดแข้ง ปวดขา ปวดหลัง ปวดเอว ปวดคอ เป็นต้น”
“นั้นเป็นบทเรียนชั้นสูงที่ฉันต้องการจะสอนให้คุณรู้จักสัจธรรมคือความทุกข์  การรู้แจ้งทุกข์มีประโยชน์มาก ประโยชน์ชั้นต่ำ จะทำให้จิตใจคุณคุ้นเคยกับทุกข์ เมื่อความทุกข์เกิดขึ้นจะไม่ทุกข์มาก จะไม่เสียขวัญ จะแก้ทุกข์ตามเหตุปัจจัย  จะเห็นว่าทุกข์เป็นบทเรียนอันมีค่า ทุกข์จะช่วยชุบชึวิตให้เข้มแข็ง”
“ประโยชน์ชั้นกลาง เมื่อเห็นทุกข์ในตนแล้ว ก็จะเห็นทุกข์ในผู้อื่น  สัตว์อื่น แล้วจะเกิดความเมตตากรุณาในผู้อื่น เมื่อเกิดความเมตตากรุณาในผู้อื่นแล้วจะไม่เบียดเบียฬเขาโดยประการทั้งปวง มีแต่จะช่วยเกื้อกูลเชา”
“ประโยชน์ชั้นสูง ถ้าเห็นทุกข์อย่างแจ่มแจ้งจะเบื้อหน่ายในทุกข์ ในการเวียนว่าย ตาย เกิด แล้วจะดำเนินตามหลักอริยมรรคมีองค์ ๘ อย่างจริงจังเพื่อความพ้นทุกข์”
พอพูดจบเจ้าแม่ปถพีผู้รอบรู้ในธรรมก็กล่าวว่า
“เอาละนะ ฉันจะต้องรีบไปทวงหนี้ที่อื่นๆ อีก” ว่าแล้วก็ค่อยๆ จมน้ำหายไป  ข้าพเจ้าลุกชึ้นยืนเตรียมจะเดินจากไปเช่นกัน แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเพราะได้ยินเสียงเรียกมาจากด้านหลังอีก
คำสั่งสุดท้าย