วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

มหาสติปัฏฐานสูตร 1 อานาปานสติ


อานาปานสติ
กถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ                                      ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณา
กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ                              เห็นกายในกายเนืองๆ อยู่อย่างไรเล่า?
อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ                                            ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
อะรัญญะคะโต วา                                           ไปแล้วสู่ป่าก็ดี
รุกขะมูละคะโต วา                                          ไปแล้วสู่โคนไม้ก็ดี
สุญญาคาระคะโต วา                                       ไปแล้วสู่เรือนว่างก็ดี
นิสีทะติ ปัลลังกัง อาภุชิตฺวา                            นั่งคู้บรรลังก์ (ขัดสมาธิ)
อุชุง กายัง ปะณิธายะ                                       ตั้งกายให้ตรง
ปะริมุขัง สะติง อุปัฏฐะเปตฺวา                         ดำรงสติเฉพาะหน้า
1 โส สะโต วะ อัสสะสะติ                               เธอย่อมมีสติหายใจเข้า
2 สะโต ปัสสะสะติ                                          ย่อมมีสติหายใจออก
3 ทีฆัง วา อัสสะสันโต                                                เมื่อหายใจเข้ายาว
ทีฆัง อัสสะสามีติ ปะชานาติ                           ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว
4 ทีฆัง วา ปัสสะสันโต                                                หรือเมื่อหายใจออกยาว
ทีฆัง ปัสสะสามีติ  ปะชานาติ                          ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว
5 รัสสัง วา อัสสะสันโต                                   เมื่อหายใจเข้าสั้น
รัสสัง อัสสะสามีติ ปะชานาติ                         ก็รู้ชัดว่าเราหาใจเข้าสั้น
6 รัสสัง วา ปัสสะสันโต                                  หรือเมื่อหายใจออกสั้น
รัสสัง ปัสสะสามีติ  ปะชานาติ                                    ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกสั้น
7 สัพพะกายะปะฏิสังเวที                                ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลม
อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ                                   หายใจทั้งปวง หายใจเข้า
8 สัพพะกายะปะฏิสังเวที                                ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้
ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ                                  ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง หายใจออก
9 ปัสสัมภะยัง กายะสังขารัง                           ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร
อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ                                   (คือลมอัสสาสะปัสสาสะ  หายใจเข้า
10 ปัสสัมภะยัง กายะสังขารัง                         ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร
ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ                                  หายใจออก
เสยยะถาปิ ภิกขะเว ทักโข                                ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ฉันใด นายช่างกลึง
ภะมะกาโร วา ภะมะการันเตวาสี วา               หรือลูกมือของนายช่างกลึงผู้ฉลาด
1 ทีฆัง ว่า อัญฉันโต ทีฆัง                                เมื่อชักเชือกกลึงยาว ก็รู้ชัดว่าเราชัก                 
อัญฉามีติ ปะชานาติ                                        เชื่อกกลึงยาว
2 รัสสัง วา อัญฉันโต รัสสัง                             หรือเมื่อชักเชือกกลึงสั้น ก็รู้ชัดว่า
อัญฉามีติ ปะชานาติ                                        เราชักเชือกกลึงสั้น
เอวะเมวะ โข ภิกขะเว ภิกขุ                              ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุก็ฉันนั้นนั้นแหละ
1 ทีฆัง ว่า อัสสะสันโต ทีฆัง                            เมื่อหายใจเข้ายาว
อัสสะสามีติ ปะชานาติ                                                ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว
2 ทีฆัง วา ปัสสะสันโต ทีฆัง                           หรือเมื่อหายใจออกยาว
ปัสสะสามีติ ปะชานาติ                                               ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกยาว
3 รัสสัง วา อัสสะสันโต ทีฆัง                          เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า
อัสสะสามีติ ปะชานาติ                                                เราหายใจเข้าสั้น
4 รัสสัง วา ปัสสะสันโต รัสสัง                                    หรือเมื่อหายใจออกสั้น
ปัสสะสามีติ ปะชานาติ                                               ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกสั้น
5 สัพพะกายะปะฏิสังเวที                                ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลม
อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ                                   หายใจทั้งปวง หายใจเข้า
6 สัพพะกายะปะฏิสังเวที                                ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลม
ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ                                  หายใจทั้งปวง หายใจออก
7 ปัสสสัมภะยัง กายะสังขารัง                         ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร
อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ                                   หายใจเข้า
8 ปัสสัมภะยัง กายะสังชารัง                           ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร
ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ                                  หายใจออก
อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ   ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเป็นภายในบ้าง
พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ          ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายนอกบ้าง
อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี         ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายใน
วิหะระติ                                                          ทั้งภายนอกบ้าง
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสมิง วิหะระติ ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง
วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสมิง วิหะระติ         ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในกายบ้าง
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสมิง       ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือทั้งความเกิดขึ้น
วิหะระติ                                                         ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง
อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติ                        ก็หรือว่าสติว่ากายมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่
ปัจจุปัฏฐิตา โหติ                                             เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น
ยาวะเทวะ ญาณมัตตายะ                                แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ 
ปะตัสสะติมัตตายะ                                         แต่เพียงสักว่าเป็นทีอาศัยระลึก
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ                                   เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ                            ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆ ในโลกด้วย
เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเยะ กายานุปัสสี          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็น
วิหะระติ                                                          กายในกายเนื่องๆ อยู่อย่างนี้
อานาปานะปัพพัง                                           จบข้อกำหนดด้วยลมหายใจเข้าออก

ไม่มีความคิดเห็น: