วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ติลักขณาทิคาถา


ติลักขณาทิคาถา
สัพเพ สังขารา อะนิจจาติ                                เมื่อใด บุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า
ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ,                                สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง
อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข                                  เมื่อนั้นเขาย่อมเบื่อหน่ายในทุกข์ เขาอิ่มแล้ว-
เขาพอแล้วในทุกข์การเห็นว่ามันไม่เที่ยง
พร้อมด้วยการเบื่อหน่ายอย่างนี้
เอสะ มัคโค วิสุทธิยา                                     เป็นทางแห่งความหมดจดจากกิเลส เป็นทางดับทุกข์
สิ้นสุดแห่งทุกข์
สัพเพ สังขารา ทุกขาติ                                                เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญา    
ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ,                                ว่าสังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์
อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข                                  เมื่อนั้นเขาย่อมเบื่อหน่ายในทุกข์ เขาอิ่มแล้ว
เขาพอแล้วในความทุกข์การเห็นว่ามันทนได้ยาก
เต็มไปด้วยทุกข์ พร้อมทั้งความเบื่อหน่าย
เอสะ มัคโค วิสุทธิยา                                     นี้เป็นทางแห่งความหมดจดจากกิเลส เป็นทางดับทุกข์
สิ้นสุดแห่งทุกข์
สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ                                  เมื่อใด บุคคลเห็นด้วยปัญญา
ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ,                                ว่าสังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา,
อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข                                  เมื่อนั้นเขาย่อมเบื่อหน่ายในทุกข์ เขาอิ่มแล้ว
เขาพอแล้วในความทุกข์ การเห็นว่าแท้จริงตัวตน
ก็มีเพียงสมมุติ
ไม่มีใครเป็นเจ้าของไม่มีตนและไม่มีในของๆ ตน,
เห็นพร้อมทั้งความเบื่อหน่ายอย่างนี้,
เอสะ มัคโค วิสุทธิยา                                     นี้เป็นทางแห่งความหมดจดจากกิเลส เป็นทางดับทุกข์
ทางไปสิ้นสุดแห่งทุกข์
อัปปะกา เต มะนุสเสสุ                                     ในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย
เย ชะนา ปาระคามิโน                                      ผู้ที่ถึงฝั่งพระนิพพาน มีน้อยนัก
อะถายัง อิตะรา ปะชา                                     หมู่มนุษย์นอกนั้น
ตีระเมวานุธาวะติ                                         ย่อมวิ่งเลาะไปตามฝั่งของสักกายทิฏฐิ อยู่นั่นเทียว
เย จะ โข สัมมะทักขาเต                                   ก็ชนเหล่าใดประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม
ธัมเม ธัมมานุวัตติโน                                       ในธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้ว
เต ชะนา ปาระเมสสันติ                                  ชนเหล่านั้น จักถึงฝั่งคือพระนิพพาน ข้ามพ้นบ่วงแห่ง
มัจจุเธยยัง สุทุตตะรัง                                   มัจจุราชล่วงพ้นวัฏสงสาร อันเป็นที่ตั้งของกิเลสมาร
ที่บุคคลข้ามได้ยากยิ่งนัก นั้นไปได้
กัณหัง ธัมมัง วิปปะหายะ                                จงเป็นบัณฑิตละธรรมอันดำนั้นเสีย
สุกกัง ภาเวถะ ปัณฑิโต                                    แล้วเจริญธรรมขาว คือ กุศลธรรมมากขึ้น
โอกา อะโนกะมาคัมมะ                                                จงละกาม ออกจากกามทั้งหลาย ออกจากตัณหา
วิเวกะ ยัตถะ ทูระมัง,                                      ละความอยาก-ความอาลัย
ตัตราภิระติมิจเฉยยะ                                       เป็นผู้ไม่มีความกังวล ยินดีเฉพาะต่อพระนิพพาน
อันสงัดวิเวก
หิตวา กาเม อะกิญจะโน                                  วิเวกกาย วิเวกจิต วิเวกจากกิเลส จากอุปาทาน
ปะริโยทะเปยยะ อัตตานัง                               ที่ใครยินดีโดยยากนั้น
จิตตักเลเสหิ ปัณฑิโต                                       บัณฑิตควรทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว
จากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย
เยสัง สัมโพธิยังเคสุ                                         จิตอันบัณฑิตทั้งหลายเหล่าใด
สัมมา จิตตัง สุภาวิตัง                                     อบรมดีแล้วโดยถูกต้อง ในองค์เป็นเหตุตรัสรู้ทั้งหลาย
อาทานะปะฏินิสสัเค                                        บัณฑิตทั้งหลายเหล่าใดไม่ถือมั่น
อนุปาทายะ เย ระตา                                        ยินดีแล้วในอันสละความยึดถือ
ขีณาสะวา ชุติมันโต                                        บัณฑิตทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมเป็นผู้ไม่มีอาสวะ
เต โลเก ปะรินิพพุตตาติ                                ดับสนิทในโลก ดังนี้แล

ไม่มีความคิดเห็น: