วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

มหาสติปัฏฐานสูตร โพชฌงคปัพพะ


โพชฌงคปัพพะ                                               ข้อกำหนดด้วยโพชฌงค์
ปุนะ ะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ                             ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ
ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ                          ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมคือ
สัตตะสุ โพชฌังเคสุ                                         โพชฌงค์ (องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้ อย่าง)
กะถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ                                    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไรภิกษุ
ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ                          ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม
สัตตะสุ โพชฌังเคสุ                                         คือโพชฌงค์
อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ                                            ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
1 สันตัง วา อัชฌัตตัง                                      อนึ่ง เมื่อสติสัมโพชฌงค์
( องค์แห่งปัญญาเครื่องตรัสรู้ คือ สติ)
สติสัมโพชฌังคัง                                             มี ณ ภายในจิต
อัตถิ เม อัชฌัตตัง                                            ย่อมรู้ชัดว่า สติสัมโพชฌงค์มี
สติสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ                          ณ ภายในจิตของเรา
อะสันตัง วา อัชฌัตตัง สะติสัมโพชฌังคัง       หรือ เมื่อสติสัมโพชฌงค์ไมมี ภายในจิตของเรา
นัตถิ เม อัชฌัตตัง                                            ย่อมรู้ชัดว่าสติสัมโพชฌงค์ไม่มี
สะติสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ                                    ณ ภายในจิตของเรา
ยะถาจะ อะนุปปันนัสสะ                                 อนึ่ง สติสัมโพชฌงค์อันยังไม่เกิดขึ้น
สะติสัมโพชฌังคัสสะ อุปปาโท โหติ                ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด
ตัญจะ ปะชานาติ                                             ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
ยะถาจะ อุปปันนัสสะ สะติสัมโพชฌังคัสสะ   อนึ่ง ความเจริญบริบูรณ์ของสติสัมโพชฌงค์
ที่เกิดขึ้นแล้ว
ภาวะนาปาริปูริ โหติ                                        ย่อมเป็นไปด้วยประการใด
ตัญจะ ปะชานาติ                                             ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
2 สันตัง วา อัชฌัตตัง                                      อนึ่ง เมื่อธัมมวิจยะสัมโพชฌงค์
( องค์แห่งปัญญาเครื่องตรัสรู้
ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌังคัง                              คือเลือกเฟ้นธรรม)       มี ภายในจิต
อัตถิ เม อัชฌัตตัง                                            ย่อมรู้ชัดว่า ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์
ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ           มี ภายในจิตของเรา
อะสันตัง วา อัชฌัตตัง                                     หรือ เมื่อธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ไมมี
ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌังคัง                              ณ ภายในจิตของเรา
นัตถิ เม อัชฌัตตัง                                            ย่อมรู้ชัดว่าธัมมวิจยะสัมโพชฌงค์
ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ           ไม่มี ภายในจิตของเรา
ยะถาจะ อะนุปปันนัสสะ                                 อนึ่ง ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์อันยังไม่เกิดขึ้น
ธัมมวิจะยะสัมโพชฌังคัสสะ อุปปาโท โหติ     ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด
ตัญจะ ปะชานาติ                                             ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
ยะถาจะ อุปปันนัสสะ                                      อนึ่ง ความเจริญบริบูรณ์
ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌังคัสสะ                         ของธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ที่เกิดขึ้นแล้ว
ภาวะนาปาริปูริ โหติ                                        ย่อมเป็นไปด้วยประการใด
ตัญจะ ปะชานาติ                                             ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
3 สันตัง วา อัชฌัตตัง                                      อนึ่ง เมื่อวิริยสัมโพชฌงค์
วิริยะสัมโพชฌังคัง                                          ( องค์แห่งปัญญาเครื่องตรัสรู้ คือ ความเพียร)
มี ภายในจิต
อัตถิ เม อัชฌัตตัง                                            ย่อมรู้ชัดว่า วิริยสัมโพชฌงค์มี
วิริยะสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ                       ณ ภายในจิตของเรา
อะสันตัง วา อัชฌัตตัง วิริยะสัมโพชฌังคัง      หรือ เมื่อวิริยสัมโพชฌงค์ไม่มี ภายในจิตของเรา
นัตถิ เม อัชฌัตตัง                                            ย่อมรู้ชัดว่าวิริยสัมโพชฌงค์ไม่มี
วิริยะสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ                       ณ ภายในจิตของเรา
ยะถาจะ อะนุปปันนัสสะ                                 อนึ่ง วิริยสัมโพชฌงค์อันยังไม่เกิดขึ้น
วิริยะสัมโพชฌังคัสสะ อุปปาโท โหติ              ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด
ตัญจะ ปะชานาติ                                             ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
ยะถาจะ อุปปันนัสสะ วิริยะสัมโพชฌังคัสสะ  อนึ่ง ความเจริญบริบูรณ์ของวิริยสัมโพชฌงค์
ภาวะนาปาริปูริ โหติ                                        ที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นไปด้วยประการใด
ตัญจะ ปะชานาติ                                             ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
4 สันตัง วา อัชฌัตตัง                                      อนึ่ง เมื่อปีติสัมโพชฌงค์ ( องค์แห่งปัญญา
เครื่องตรัสรู้ คือ
ปีติสัมโพชฌังคัง                                             ปีติ ความปลิ้มกายปลิ้มใจ) มี ณ ภายในจิต
อัตถิ เม อัชฌัตตัง                                            ย่อมรู้ชัดว่า ปีติสัมโพชฌงค์มี
ปีติสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ                          ณ ภายในจิตของเรา
อะสันตัง วา อัชฌัตตัง ปีติสัมโพชฌังคัง         หรือ เมื่อปีติสัมโพชฌงค์ไมมี ภายในจิตของเรา
นัตถิ เม อัชฌัตตัง                                            ย่อมรู้ชัดว่าปีติสัมโพชฌงค์
ปีติสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ                          ไม่มี ภายในจิตของเรา
ยะถาจะ อะนุปปันนัสสะ                                 อนึ่ง ปีติสัมโพชฌงค์อันยังไม่เกิดขึ้น
ปีติสัมโพชฌังคัสสะ อุปปาโท โหติ                  ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด
ตัญจะ ปะชานาติ                                             ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
ยะถาจะ อุปปันนัสสะ ปีติสัมโพชฌังคัสสะ     อนึ่ง ความเจริญบริบูรณ์ของปีติสัมโพชฌงค์
ที่เกิดขึ้นแล้ว
ภาวะนาปาริปูริ โหติ                                        ย่อมเป็นไปด้วยประการใด
ตัญจะ ปะชานาติ                                             ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
5 สันตัง วา อัชฌัตตัง                                      อนึ่ง เมื่อปัสสัทธิสัมโพชฌงค์( องค์แห่งปัญญาเครื่อง
ปัสสัทธิสัมโพชฌังคัง                                      ตรัสรู้ คือ ปัสสัทธิ ความสงบกายสงบจิต) มี ภายในจิต
อัตถิ เม อัชฌัตตัง                                            ย่อมรู้ชัดว่า ปัทสัทธิสัมโพชฌงค์มี
ปัสสัทธิสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ                   เรา ณ ภายในจิตของ
อะสันตัง วา อัชฌัตตัง ปัสสัทธิสัมโพชฌังคัง  หรือ เมื่อปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ไมมี ภายในจิตของเรา
นัตถิ เม อัชฌัตตัง                                            ย่อมรู้ชัดว่าปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ไม่มี
ปัสสัทธิสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ                   ณ ภายในจิตของเรา
ยะถาจะ อะนุปปันนัสสะ                                 อนึ่ง ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์อันยังไม่เกิดขึ้น
ปัสสัทธิสัมโพชฌังคัสสะ อุปปาโท โหติ          ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด
ตัญจะ ปะชานาติ                                             ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
ยะถาจะ อุปปันนัสสะ                                      อนึ่ง ความเจริญบริบูรณ์ของปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
ปัสสัทธิสัมโพชฌังคัสสะ                                 ที่เกิดขึ้นแล้ว
ภาวะนาปาริปูริ โหติ                                        ย่อมเป็นไปด้วยประการใด
ตัญจะ ปะชานาติ                                             ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
สันตัง วา อัชฌัตตัง                                     อนึ่ง เมื่อสมาธิสัมโพชฌงค์
( องค์แห่งปัญญาเครื่องตรัสรู้ คือ
สมาธิสัมโพชฌังคัง                                         สมาธิ ความตั้งจิตมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว) มี ภายในจิต
อัตถิ เม อัชฌัตตัง                                            ย่อมรู้ชัดว่า สติสัมโพชฌงค์มี
สมาธิสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ                      ณ ภายในจิตของเรา
อะสันตัง วา อัชฌัตตัง สมาธิสัมโพชฌังคัง     หรือ เมื่อสมาธิสัมโพชฌงค์ไมมี ภายในจิตของเรา
นัตถิ เม อัชฌัตตัง                                            ย่อมรู้ชัดว่าสมาธิสัมโพชฌงค์ไม่มี
สมาธิสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ                      ณ ภายในจิตของเรา
ยะถาจะ อะนุปปันนัสสะ                                 อนึ่ง สมาธิสัมโพชฌงค์อันยังไม่เกิดขึ้น
สมาธิสัมโพชฌังคัสสะ อุปปาโท โหติ              ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด
ตัญจะ ปะชานาติ                                             ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
ยะถาจะ อุปปันนัสสะ                                      อนึ่ง ความเจริญบริบูรณ์ของสมาธิสัมโพชฌงค์
สมาธิสัมโพชฌังคัสสะ                                                ที่เกิดขึ้นแล้ว
ภาวะนาปาริปูริ โหติ                                        ย่อมเป็นไปด้วยประการใด
ตัญจะ ปะชานาติ                                             ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
สันตัง วา อัชฌัตตัง                                     อนึ่ง เมื่ออุเบกขาสัมโพชฌงค์
( องค์แห่งปัญญาเครื่องตรัสรู้ คือ
อุเปกขาสัมโพชฌังคัง                                      อุเบกขา ความที่จิตมัธยัสถ์เป็นกลาง) มี ภายในจิต
อัตถิ เม อัชฌัตตัง                                            ย่อมรู้ชัดว่า อุเบกขาสัมโพชฌงค์มี
อุเปกขาสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ                   ณ ภายในจิตของเรา
อะสันตัง วา อัชฌัตตัง                                     หรือ เมื่ออุเบกขาสัมโพชฌงค์ไมมี
อุเปกขาสัมโพชฌังคัง                                      ณ ภายในจิตของเรา
นัตถิ เม อัชฌัตตัง                                            ย่อมรู้ชัดว่าอุเบกขาสัมโพชฌงค์ไม่มี
อุเปกขาสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ                   ณ ภายในจิตของเรา
ยะถาจะ อะนุปปันนัสสะ                                 อนึ่ง อุเบกขาสัมโพชฌงค์อันยังไม่เกิดขึ้น
อุเปกขาสัมโพชฌังคัสสะ อุปปาโท โหติ          ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด
ตัญจะ ปะชานาติ                                             ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
ยะถาจะ อุปปันนัสสะ                                      อนึ่ง ความเจริญบริบูรณ์ของอุเบกขาสัมโพชฌงค์
อุเปกขาสัมโพชฌังคัสสะ                                 ที่เกิดขึ้นแล้ว
ภาวะนาปาริปูริ โหติ                                        ย่อมเป็นไปด้วยประการใด
ตัญจะ ปะชานาติ                                             ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
อิติ  อัชฌัตตัง วา  ธัมเมสุ                                 ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม
ธัมมานุปัสสี วิหะระติ                                      เป็นภายในบ้าง
พะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ      ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมเป็นภายนอกบ้าง
อัชฌัตตะพะหิทธา วา ธัมเมสั                          ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งภายใน
ธัมมานุปัสสี วิหะระติ                                      ทั้งภายนอกบ้าง
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา                                ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา
ธัมเมสุ วิหะระติ                                               คือความเกิดขึ้นในธรรมบ้าง
วะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ             ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือความเสื่อมไปในธรรมบ้าง
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา                       ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือทั้งความเกิดขึ้น
ธัมเมสุ วิหะระติ                                               ทั้งความเสื่อมไปนธรรมบ้าง
อัตถิ ธัมมาติ วา ปะนัสสะ                                ก็หรือสติว่าธรรมมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่
สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ                                     เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ                               แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้
ปะติสสะติมัตตายะ                                          แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ                                    เธอย่อมไม่ติดอย่ด้วย
นะ จะ กิญจิ โลเก  อุปาทิยติ                             ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆ ในโลกด้วย
เอวัมปิ โข ภิกขะเว ภิกขุ ธัมเมสุ                       ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรม
ธัมมานุปัสสี วิหะระติ สัตตะสุ                         ในธรรมคือโพชฌงค์    
โพชฌังเคสุ                                                      อย่างนี้แล

ไม่มีความคิดเห็น: