วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ธชัคคสูตร


ธชัคคสูตร
เริ่มธชัคคสูตร
ยัสสานุสสะระเณนาปิ                                     แม้ด้วยการระลึกถึงปริตรอันใด
อันตะลิกเขปิ ปาณิโน                                       สัตว์ทั้งหลายแม้ในท้องฟ้า
ปะติฏฐมธิคัจฉันติ                                          ย่อมได้ที่พึ่ง
ภูมิยัง วิยะ สัพพะทา                                       ดุจสัตว์ในแผ่นดินในกาลทุกเมื่อ
สัพพูปัททะวะชาลัมหา                                   ก็ความนับสัตว์ทั้งหลายผู้พ้นจากข่าย คืออุปัทวะ
ยักขะโจราทิสัมภะวา                                       ทั้งปวงอันเกิดแก่สัตว์มียักษ์และโจรเป็นต้น
คะณะนา นะ จะ มุตตานัง                               มิได้มี
ปริตรตันตัมภะณามะ เห                                 เราทั้งหลาย จงสวดปริตรอันนั้นเทอญ

ธชัคคสูตร
เอวัมเม สุตัง                                                    อันข้าพเจ้า(พระอานนทเถระ) ได้สดับมาแล้วอย่างนี้
เอกัง สะมะยัง ภะคะวา                                   สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า
สาวัตถิยัง วิหะระติ                                         เสด็จประทับอยู่ที่พระเชตวันวิหาร
เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม          อารามของอนาถปิณฑิกเศรษฐี ไกล้เมืองสาวัตถี
ตัตฺระ โข ภะคะวา ภิกขู                                   ในกาลนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า
อามันเตสิ  ภิกขะโวติ                                       ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภะทันเตติ เต ภิกขู                                           ดังนี้แล้วพระภิกษุเหล่านั้น
ภะคะวะโต ปัจจัสโสสุง                                   จึงทูลรับพระพุทธพจน์ว่า พระเจ้าข้า ดังนี้
ภะคะวะตา เอตะทะโวจะ                                พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า
ภูตปุพพัง ภิกขะเว                                           ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรื่องดึกดำบรรเคยมีมาแล้ว
เทวาสุระสังคาโม                                             สงครามแห่งเทพดากับอสูร
สมุปัพยุฬโห อะโหสิ                                       ได้เกิดประชิดกันแล้ว
อะถะโข ภิกขะเว สักโก                                    ครั้งนั้นแล ภิกษุทั้งหลาย ท้าวสักกเทวราช
เทวานะมินโท เทเว                                          ผู้เป็นเจ้าแห่งพวกเทพดา เรียกหมู่เทพดาในชั้น
ตาวติงเส อามันเตสิ                                         ดาวดึงส์มาสั่งว่า
สะเจ มาริสา เทวานัง สังคามะคะตานัง          ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ ถ้าความกลัวก็ดี ความหวาด
อุปปัชเชยยะ ภะยัง วา                                     สะดุ้งก็ดีขนพองสยอมเกล้าก็ดี พึงบังเกิดขึ้นแก่หมู่
ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา                          เทพดา ผู้ไปสู่สงครามในสมัยใด
มะเมวะ ตัสมิง สะมะเย                                   ในสมัยนั้น ท่านทั้งหลายพึงแลดู
ธะชัคคัง อุลโบเกยยาถะ                                   ชายธงของเรานั่นเทียว
มะมัง หิโว ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง                  เพราะว่าเมื่อท่านทั้งหลายแลดูชายธงของเราอยู่
ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง                 ความกลัวก็ดี ขนพองสยองเกล้าก็ดี
วา  โลมะหังโส วา                                           อันใด จักมี
โส ปะหิยยิสสะติ                                             อันนั้นจักหายไป
โน เจ เม ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ                     ถ้าท่านทั้งหลายไม่แลดูชายธงของเรา
อะถะ ปะชาปติสสะ เทวราชัสสะ                    ทีนั้น ท่านทั้งหลายพึงแลดูชายธงของ
ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง                                    เทวราชชื่อปชาบดี
ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง                 เพราะว่าเมื่อท่านทั้งหลายแลดูชายธงของเทวราช
ชื่อปชาบดีอยู่
วา โลมะหังโส วา                                            ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี
โส ปะหิยยิสสะติ                                             ขนพองสยองเกล้าก็ดี อันใดจักมี อันนั้นจักหายไป
โน เจ ปะชาปะติสสะ เทวะราชสสะ                ถ้าท่านทั้งหลายไม่แลดู
ธะชัคคัง ดุลโลเกยยาถะ                                   ชายธงของเทวราชชื่อปชาบดี
อะถะ วรุณัสสะ เทวะราชัสสะ                         ทีนั้น ท่านทั้งหลายพึงแลดู
ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ                                   ชายธงของเทวราชชื่อ วรุณ     
วะรุณัสสะ หิ โว เทวะราชัสสะ                                    เพราะว่า เมื่อท่านทั้งหลายแลดูชายธงของเทวราช
ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง                                    ชื่อวรุณอยู่
ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง                 ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี
วา โลมะหังโส วา                                            ขนพองสยอมเกล้าก็ดี อันใด จักมี
โส ปะหิยยิสสะติ                                             อันนั้นจักหายไป
โน เจ วะรุณัสสะ เทวะราชัสสะ                       ถ้าท่านทั้งหลายไม่แลดูชายธง
ธชัคคัง อุลโลเกยยาถะ                                     ของเทวราชชื่อ วรุณ
อะถะ อีสานัสสะ เทวะราชัสสะ                       ทีนั้นท่านทั้งหลายพึงแลดูชายธงของเทวราช
ธะชัคคัง อุลโลเกะยะตัง                                   ชื่ออีสาณ
อีสานัสสะ หิ โว เทวะราชัสสะ                                    เพราะว่าเมื่อท่านทั้งหลายแลดู
ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง                                    ชายธงของเทวราชชื่อ อีสานอยู่
ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง                 ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี
วา โลมะหังโส วา                                            ขนพองสยอมเกล้าก็ดี อันใด จักมี
โส ปหิยยิสสะตีติ                                            อันนั้นจักหายไป ดังนี้
ตัง โข ปะนะ ภิกขะเว                                      ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ข้อนั้นแล
สักกัสสะ วา เทวานะมินทัสสะ                                    คือการแลดูชายธงของสักกะเทวราช
ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง                                    ผู้เป็นเจ้าแห่งเทพดาก็ตาม
ปะชาปะติสสะ วา เทวะราชัสสะ                     การดูแลชายธงชองเทวราช ชื่อ
ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง                                    ปชาบดีก็ตาม
วะรุณัสสะ วา เทวะราชัสสะ                           การแลดูชายธงของเทวราชชื่อ
ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง                                    วรุณก็ตาม
อีสาณัสสะ วา เทวะราชัสสะ                           การแลดูชายธงของเทวราชชื่อ
ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง                                    อีสานก็ตาม
ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง                 ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี
วา โลมะหังโส วา                                            ขนพองสยองเกล้าก็ดี อันใด จักมี
โส ปะหิยเวถาปิ โนปิ ปะหิยเยถะ                    อันนั้น พึงหายไปบ้าง ไม่หายบ้าง
ตัง กิสสะ เหตุ                                                 ข้อนั้นเป็นเหตุแห่งอะไร
สักโก หิ ภิกขเว เทวานะมินโท                         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหตุว่าท้าวสักกเทวราชเจ้า
อะวีตะราโค อะวีตะโทโส อะวีตะโมโห                       แห่งเทพดาเธอมีราคะยังไม่สิ้นไป มีโทสะยังไม่สิ้นไป
มีโมหะยังไม่สิ้นไป
ภิรุ ฉัมภี อุตตราสี ปะลายีติ                             เธอยังเป็นผู้กลัว ยังเป็นผู้หวาด ยังเป็นผู้สะดุ้ง
ยังเป็นผู้หนี ดังนี้
อะหัญจะ โข ภิกขะเว เอวัง วะทามิ                  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนเราแลกล่าวอย่างนี้ว่า
สะเจ ตุมหากัง ภิกขะเว อรัญญะคะตานัง        ถ้าว่าท่านทั้งหลาย ไปอยู่ในป่าก็ตาม
วา รุกขะมูละคะตานัง วา                                ไปอยู่ที่โคนไม้ก็ตาม
สุญญาคาระคะตานัง วา                                  ไปอยู่ในเรือนเปล่าก็ตาม
อุปปัชเชยยะ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง                   ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี
วา โลมะหังโส วา                                            ขนพยองสยองเกล่าก็ดีพึงเกิดขึ้นในสมัยใด
มะเมวะ ตัสมิง สะมะเย                                   ในสมัยนั้น ท่านทั้งหลาย
อะนุสสะเรยยาถะ                                            พึงระลึกถึงเรานั้นเทียวว่า
อิติปิ                                                                 แม้เพราะเหตุนั้นๆ
โส ภะคะวา                                                     พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น
อะระหัง                                                           เป็นผู้ไกลจากกิเลส เป็นผู้ควรไหว้ควรบูชา
สัมมาสัมพุทโธ                                                เป็นผู้รู้ชอบเอง
วิชชาจะระณะสัมปันโน                                  เป็นผู้บริบูรณ์แล้วด้วยวิชชาและจรณะ
สุคะโต                                                             เป็นพระสุคตผู้เสด็จไปดีแล้ว
โลกะวิทู                                                           เป็นผู้ทรงรู้โลก
อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ                      เป็นผู้ฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยื่งกว่า
สัตถา เทวะมะนุสสานัง                                  เป็นศาสดาผู้สอนของเทพดาและมนุษย์ทั้งหลาย
พุทโธ                                                               เป็นผู้เบิกบานแล้ว
ภะคะวาติ                                                        เป็นผู้จำแนกธรรมดังนี้
มะมัง หิ  โว ภิกขะเว อะนุสสะระตัง               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะว่าเมื่อท่านทั้งหลาย
ตามระลึกถึงเราอยู่
ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง                 ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี
วา  โลมะหังโส วา                                           ขนพองสยองเกล้าก็ดี อันใด จักมี
โส ปะหิยยิสสะติ                                             อันนั้นจักหายไป
โน เจ มัง อะนุสสะเรยยาถะ                            ถ้าท่านทั้งหลายไม่ระลึกถึงเรา
อะถะ ธัมมัง อะนุสสะเรยยาถะ                       ทีนั้นพึงระลึกถึงพระธรรมว่า
สฺวากฺขาโต ภะคะวะตา  ธัมโม                         พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว
สันทิฏฐิโก                                                       เป็นของอันบุคคลพึงเห็นเอง
อะกาลิโก                                                          เป็นของไม่มีกาลเวลา
เอหิปัสสิโก                                                      เป็นของร้องเรียกผู้อื่นให้มาดูได้
โอปะนะยิโก                                                    เป็นของอันบุคคลพึงน้อมเข้ามาใส่ใจ
ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ                          เป็นของอันวิญญูชนทั้งหลาย พึงรู้เฉพาะตัว ดังนี้
ธัมมัง หิ โว ภิกขะเว อะนุสสะระตัง                ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะว่าเมื่อท่านทั้งหลาย
                                                                        ตามระลึกถึงพระธรรมอยู่
ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง                 ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี
วา โลมะหังโส วา                                            ขนพองสยองเกล้าก็ดีอันใดจักมี
โส ปหิยยิสสะติ                                               อันนั้น จักหายไป
โน เจ ธัมมัง อะนุสสะเรยยาถะ                        ถ้าท่านทั้งหลาย ไม่ระลึกถึงพระธรรม
อะถะ สังฆัง อะนุสสะเรยยาถะ                       ทีนั้นพึงตามระลึกถึงพระสงฆ์ว่า
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต                                 พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า
สาวะกะสังโฆ                                                  เป็นผู้ปฏิบัติถูกแล้ว
อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต                               พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า
สาวะกะสังโฆ                                                  เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว
ฌายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต                          พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า
สาวะกะสังโฆ                                                  เป็นผู้ปฏิบัติถูกแล้ว
สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต                           พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า
สาวะกะสังโฆ                                                  เป็นผู้ปฏิบัติชอบแล้ว
ยะทิทัง                                                            คือ
จิตตาริ ปุริสะยุคานิ                                         คู่แห่งบุรุษทั้งหลาย
อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา                                       บุรุษบุคคลทั้ง หลาย
เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ                      นี่พระสงฆ์สาวก ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
อาหุเนยโย                                                       ท่านเป็นผู้ควรสักการะที่เขานำมาบูชา
ปานุเนยโย                                                       ท่านเป็นผู้ควรของต้อนรับ
ทักขิเณยโย                                                       ท่านเป็นผู้ควรทักษิณาทาน
อัญชะลิกะระณีโย                                            ท่านเป็นผู้ควรอัญชลีกรรม
อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ              ท่านเป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ดังนี้
สังฆัง หิ  โว ภิกขะเว อนุสสะระตัง                 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะว่าเมื่อท่านทั้งหลาย ระลึก
ถึงพระสงฆ์อยู่
ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง                 ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ขนพองสยอมเกล้า
วา โลมะหังโส วา                                            ก็ดี อันใด จักมีก็
โส ปะหิยยิสสะติ                                             อันนั้นจักหายไป
ตัง กิสสะ เหตุ                                                 ข้อนั้นเป็นเหตุแห่งอะไร
ตะถาคะโต หิ ภิกขะเว                                     ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหตุว่าพระตถาคต
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ                                 เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
วีตะราคื วีตะโทโส วีตะโมโห                          มีราคะสิ้นไปแล้ว มีโทสะสิ้นไปแล้ว มีโมหะสิ้นไปแล้ว
อะภิรุ อัจฉัมภี                                                  เป็นผู้ไม่กลัว เป็นผู้ไม่ประมาท
อะนุตตราสี อะปะลายีติ                                  เป็นผู้ไม่สะดุ้ง เป็นผู้ไม่หนี ดังนี้แล
อิทะมะโวจะ ภะคะวา                                      พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้
อิทัง วัตวานะ สุคะโต                                      พระองค์ผู้เป็นพระสุคต ครั้นตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว
อะถาปะรัง เอตะทะโวจะ สัตถา                      ลำดับนั้น พระองค์ผู้เป็นพระศาสดา
จึงตรัสพระพุทธพจน์อีกว่า
อะรัญเญ รุกขะมูเล วา                                      ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อท่านทั้งหลายอยู่ในป่าหรือรุกขมูล
สุญญาคาเรวะ ภิกขะโว                                   หรือในเรือนเปล่า
อะนุสสะเรถะ สัมพุทธัง                                  พึงระลึกถึงพระสัมพุทธเจ้า
ภะยัง  ตุมหากะ โน สิยา                                  ภัยจะไม่พึงมี แก่ท่านทั้งหลาย
โน เจ พุทธัง สะเรยยาถะ                                 ถ้าท่านทั้งหลาย ไม่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า
โลกะเชฏฐัง นะราสะภัง                                  ซึ่งเป็นใหญ่กว่าโลก ประเสริฐกว่านรชน
อะถะ ธัมมัง สเรยยาถะ                                   ทีนั้นพึงระลึกถึงพระธรรม
นิยยานิกัง สึเทสิตัง                                          อันเป็นเครื่องนำออก ที่เราแสดงไว้ดีแล้ว
โน เจ ธัมมัง สะเรยยาถะ                                 ถ้าท่านทั้งหลาย ไม่ระลึกถึงพระธรรม
นิยยานิกัง สุเทสิตัง                                          อันเป็นเครื่องนำออก ที่เราแสดงไว้ดีแล้ว
อะถะ สังฆัง สะเรยยาถะ                                 ทีนั้นพึงระลึกถึงพระสงฆ์
ปุญญักเขตตัง อะนุตตะรัง                               ซึ่งเป็นนาบุญของโลกไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า
เอวัมพุทธัง สะรันตานัง                                  ดูก่อนภิกษุทั้งหลายน เมื่อท่านทั้งหลายมาระลึกถึง
ธัมมัง สังฆัญจะ ภิกขะโว                                พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์อยู่อย่างนี้
ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา                                  ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี
โลมะหังโส นะ เหสสะตีติ                               ขนพองสยองเกล้าก็ดี จักไม่มีแล
(ฉบับภาษาอังกฤษ สวดย่อดังนี้)
1  อิติปิ                                                             แม้เพราะเหตุนั้นๆ
โส ภะคะวา                                                     พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น
อะระหัง                                                           เป็นผู้ไกลจากกิเลส เป็นผู้ควรไหว้ควรบูชา
สัมมาสัมพุทโธ                                                เป็นผู้รู้ชอบเอง
วิชชาจะระณะสัมปันโน                                  เป็นผู้บริบูรณ์แล้วด้วยวิชชาและจรณะ
สุคะโต                                                             เป็นพระสุคตผู้เสด็จไปดีแล้ว
โลกะวิทู                                                           เป็นผู้ทรงรู้โลก
อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ                      เป็นผู้ฝึกบุรุษทีควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยื่งกว่า
สัตถา เทวะมะนุสสานัง                                  เป็นศาสดาผู้สอนของเทพดาและมนุษย์ทั้งหลาย
พุทโธ                                                               เป็นผู้เบิกบานแล้ว
ภะคะวาติ                                                        เป็นผู้จำแนกธรรมดังนี้
2 สฺวากฺขาโต ภะคะวะตา  ธัมโม                      พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว
สันทิฏฐิโก                                                       เป็นของอันบุคคลพึงเห็นเอง
อะกาลิโก                                                          เป็นของไม่มีกาลเวลา
เอหิปัสสิโก                                                      เป็นของร้องเรียกผู้อื่นให้มาดูได้
โอปะนะยิโก                                                    เป็นของอันบุคคลพึงน้อมเข้ามาใส่ใจ
ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ                          เป็นของอันวิญญุชนทั้งหลาย พึงรู้เฉพาะตัว ดังนี้
3 สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต                              พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า
สาวะกะสังโฆ                                                  เป็นผู้ปฏิบัติถูกแล้ว
อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต                               พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า
สาวะกะสังโฆ                                                  เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว
ฌายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต                          พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า
สาวะกะสังโฆ                                                  เป็นผู้ปฏิบัติถูกแล้ว
สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต                           พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า
สาวะกะสังโฆ                                                  เป็นผู้ปฏิบัติชอบแล้ว
ยะทิทัง                                                            คือ
จิตตาริ ปุริสะยุคานิ                                         คู่แห่งบุรุษทั้งหลาย
อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา                                       บุรุษบุคคลทั้ง หลาย
เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ                      นี่พระสงฆ์สาวก ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
อาหุเนยโย                                                       ท่านเป็นผู้ควรสักการะทีเขานำมาบูชา
ปานุเนยโย                                                       ท่านเป็นผู้ควรของต้อนรับ
ทักขิเณยโย                                                       ท่านเป็นผู้ควรทักษิณาทาน
อัญชะลิกะระณีโย                                            ท่านเป็นผู้ควรอัญชลีกรรม
อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ              ท่านเป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ดังนี้

ไม่มีความคิดเห็น: