วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ธัมมจักกัปปวัตนสูตร


ธัมมจักกัปปวัตนสูตร
เริมธัมมจักกัปปวัตนสูตร                                พระตถาคตเจ้า ได้ตรัสรู้ซึ่ง
อนุตตะรัง อะภิสัมโพธิง                                  พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว
สัมพุชฌิตฺวา ตะถาคะโต                                 เมื่อจะทรงประกาศธรรมที่ใครๆ
ธัมมะจักกัง อะนุตตะรัง                                  ยังมิได้ให้เป็นไปแล้วในโลก ให้เป็นไป
สัมมะเทวะ ปะวัตเตนโต                                 โดยชอบแท้ ได้ทรงแสดง
โลเก อัปปฏิวัตติยัง                                          พระอนุตรธัมมจักรใดก่อน
ยัตถากขาตา อุโภ อันตา                                  คือพระธัมมจักรใด พระองค์ตรัส
ปะฏิปัตติ จะ มัชฌิมา                                      ซึ่งที่สุด ประการ และข้อปฏิบัติ
จะตูสะวาริยะสุจเจสุ                                       เป็นกลาง และปัญญาอันรู้เห็น
วิสุทธัง ญาณะทัสสะนัง                                  อันหมดจดแล้วในอริยสัจทั้ง
เทสิตัง ธัมมะราเชนะ                                      เราทั้งหลายจงสวดธรรมจักรนั้น
สัมมาสัมโพธิกิตตะนัง                                                ที่พระองค์ผู้พระธรรมราชาทรงแสดงแล้ว
นาเมนะ วิสสุตัง สุตตัง                                   ปรากฏโดยชื่อว่าธัมมจักกัปปวัตนสูตร
ธัมมะจักกัปปะวัตตะนัง                                  เป็นสูตรประกาศพระสัมมาสัมโพธิญาณ
เวยยากะระณะปาเฐนะ                                                อันพระสังคีติกาจารย์ร้อยกรองไว้
สังคีตันตัมภะณามะ เสฯ                                 โดยเวยยากรณะปาฐะเทอญ
ธัมมจักกัปปวัตนสูตร
เอวัมเม สุตัง                                                    อันข้าพเจ้า( คือพระอานนทเถระ) ได้สดับมาแล้วอย่างนี้
เอกัง สะมะยัง ภะคะวา                                   สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า
พาราณะสิยัง วิหะระติ                                                เสด็จประทับอยุ่ทีป่าอิสิปตะมฤคทายวัน
อิสิปะตะเน มิคะทาเย                                      ไกล้เมืองพาราณสี
ตัตระ โข ภะคะวา ปัญจะวัคคิเย ภิกขู              ในกาลนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเตือน
อามันเตสิ                                                        พระภิกษุปัญจะวัคคีย์ว่า
เทวเม ภิกขะเว อันตา ปัพพะชิเตนะ                ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ที่สุดสองอย่างนี้อันบรรพชิต
นะ เสวิตัพพา                                                  ไม่ควรเสพ
โย จายัง กาเมสุ กามะสุขัลลิกานุโยโค              คือการประกอบตนให้พัวพันด้วยกามในกามทั้งหลายนี้ใด
หีโน                                                                 เป็นธรรมอันเลว
คัมโม                                                               เป็นเหตุตั้งบ้านเรือน
โปถุชชะนิโก                                                    เป็นของคนมีกิเลสหนา
อะนะริโย                                                         ไมใช่ไปจากข้าศึกคือกิเลส
อนัตถะสัญหิโต                                               ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ อย่างหนึ่ง
โย จายัง อัตตะกิละมะถานุโยโค                      คือการประกอลความเหน็ดเหนื่อยด้วยตนเหล่านี้ใด
ทุกโข                                                               ให้เกิดทุกข์แก่ผู้ประกอบ
อะนะริโย                                                         ไม่ใช่ไปจากข้าศึกคือกิเลส
อนัตถะสัญหิโต                                               ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ อย่างหนึ่ง
เอเต เต ภิกขะเว อุโภ อันเต อนุปะคัมมะ         ดูก่อนภิกษุทั้งหลายข้อปฏิบัติอันเป็นกลาง ไม่เข้าไป
มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตน                     ไกล้ที่สุดสองอย่างนั่นนั้น
อภิสัมพุทธา                                                    อันตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว
จักขุกะระณี ญาณะกะระณี                              ด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตา ทำญาณเครื่องรู้
อุปะสะมายะ อภิญญายะ                                 ย่อมเป็นไปเพื่อความเข้าไปสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง
สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ               เพื่อความรู้ดี เพื่อความดับ
กะตะมา จะ สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ข้อปฏิบัติซึ่งเป็นกลางนั้นเป็น
ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา                           ไฉน ที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว ด้วยป้ญญาอันยิ่ง
จักขุกะระณี ญาณะกะระณี                              ทำดวงตา ทำญาณเครื่องรู้
อุปะสะมายะ อภิญญายะ สัมโพธายะ              ย่อมเป็นไปเพื่อความเข้าไปสงบระงับ
นิพพานายะ                                                    เพื่อความรู้ยิ่ง
สังวัตตะติ                                                       เพื่อความรู้ดี เพื่อความดับ
อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค                  ทางมีองค์ เครื่องไปจากข้าศึกคือกิเลสนี่เอง
เสยยะถีทัง                                                       กล่าวคือ
สัมมาทิฏฐิ                                                    ปัญญาเห็นชอบ
สัมมาสังกัปโป                                             ความดำริชอบ
สัมมาวาจา                                                  วาจาชอบ
สัมมากัมมันโต                                            การงานชอบ
สัมมาอาชีโว                                                            ความเลี้ยงชีพชอบ
สัมมาวายาโม                                               ความเพียรชอบ
สัมมาสติ                                                     ความระลึกชอบ
สัมมาสมาธิ                                                 ความตั้งจิตชอบ
อะยัง โข สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้แล ข้อปฏิบัติซึ่งเป็นกลางนั้น
ตะถาคะเตนะ อภิสัมพุทธา                             ที่ตะถาคตได้ตรัสรู้แล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่ง
จักขุกะระณี ญาณะกะระณี                              ทำดวงตา ทำญาณเครื่องรู้ ย่อมเป็นไปเพื่อความเข้า
อุปะสะมายะ อภิญญายะ สัมโพธายะ              ไปสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้ดี
นิพพานายะ สังวัตตะติ                                   เพื่อความดับ               
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขัง อะริยะสัจจัง     ดูก่อภิกษุทั้งหลาย ก็นี้แล เป็นทุกข์อย่างแท้จริง คือ
ชาติปิ ทุกขา                                                     ความเกิดก็เป็นทุกข์
ชราปิ ทุกขา                                                     ความแก่ก็เป็นทุกข์
มะระณัมปิ ทุกขัง                                            ความตายก็เป็นทุกข์
โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิ       ความโศก ความร่ำไรรำพัน
ทุกขา                                                               ความทุกข์โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็เป็นทุกข์
อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข                              ความประสบด้วยสิ่งที่ไม่เป็นที่รักทั้งหลายเป็นทุกข์
ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข                                   ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักทั้งหลาย เป็นทุกข์
ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง                    ปรารถนาอยู่ย่อมไม่ได้ แม้อันใด แม้อันนั้นก็เป็นทุกข์
สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกชา            โดยย่อแล้ว อุปาทานขันธ์ เป็นทุกข์
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะสะมุทะโย         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็นี้แล เป็นเหตุให้ทุกข์เกิดขึ้น
 อะริยะสัจจัง                                                   อย่างจริงแท้ คือ
ยายัง ตัณหา โปโนพภะวิกา                             ความทะยานอยากนี้ ทำให้มีภพอีก
นันทิราคะสะหะคะตา                                     เป็นไปกับความกำหนัดด้วยอำนาจแห่งความเพลิน
 ตัตระตัตราภินันทินี                                       เพลิดเพลินในอารมณ์นั้นๆ
เสยยะถีทัง                                                       กล่าวคือ
กามะตัณหา                                                     คือความทะยานอยากในอารมณ์ที่ใคร่
ภะวะตัณหา                                                    คือความทะยานอยากในความมีความเป็น
วิภะวะตัณหา                                                  คือความทะยานอยากในความไม่มีไม่เป็น
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรโธ               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็นี่แล เป็นความดับทุกข์
อะริยะสัจจัง                                                    อย่างจริงแท้ คือ
โย ตัสสาเยวะ ตัณหายะ                                  ความดับโดยสิ้นกำหนัด ดดยไม่เหลือแห่งตัณหานั้น
อะเสสะวิราคถนิโรโธ                                      นั่นเทียว อันใด
จาโค                                                                ความสละตัณหานั้น
ปะฏินิสสัคโค                                                  ความวางตัณหานั้น
มุตติ                                                                ความปล่อยตัณหานั้น
อะนาละโย                                                       ความไม่พัวพันแห่งตัณหานั้น
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรธะคามินี     ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็นี่แล เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความ
ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง                                   ดับทุกข์อย่างจริงแท้ คือ
อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค                  ทางมีองค์ เครื่องไปจากข้าศึกคือกิเลสนี้แล
เสยยะถีทัง                                                       กล่าวคือ
สัมมาทิฏฐิ                                                    ปัญญาเห็นชอบ
สัมมาสังกัปโป                                             ความดำริชอบ
สัมมาวาจา                                                  วาจาชอบ
สัมมากัมมันโต                                            การงานชอบ
สัมมาอาชีโว                                                            ความเลี้ยงชีวิตชอบ
สัมมาวายาโม                                               ความเพียรชอบ
สัมมาสะติ                                                   ความระลึกชอบ
สัมมาสมาธิ                                                 ความตั้งจิตชอบ
อิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ                          เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้น
จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา          แล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรม
อุทะปาทิวิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ       ทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่านี้เป็น
ทุกขอริยสัจ
. ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง  อะริยะสัจจัง           ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้
ปริญเญยยันติ เม ภิกขะเว                                เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ                          แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรม
จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ                      ทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้ว
ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ                     ในกาลก่อนว่า ก็ทุกข์
อาโลโก อุทะปาทิ                                             อริยสัจนี้นั่นแล ควรกำหนดรู้
. ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง           ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว 
ปริญญาตันติ เม ภิกขเว                                   ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้
ปุพเพอะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ                           เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
จักขุง อุทะปาทิญาณัง อุทะปาทิ                       ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้ว
ปัญญา อุทะปาทิ                                              ในกาลก่อนว่า
วิชชา อุทะปาทิ                                                            ก็ทุกขอริยสัจนี้นั่นแล
อาโลโก อุทะปาทิ                                             อันได้ได้กำหนดรู้แล้ว
อิทัง ทุกขสมุทะโย อะริยะสีจจันติ               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว
เม ภิกขะเวปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ         ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว
จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ                      วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ                     ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้ว ในกาลก่อน
อาโลโก อุทะปาทิ                                             ว่า นี้ทุกขสมุทัยอริยสัจ
. ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสมุทะโย                  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้
อะริยะสัจจัง    ปะหาตัพพันติ เม ภิกขะเว      เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้น
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ                          แล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรม
จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ                      ทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้ว ในกาลก่อนวา
ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ                     ก็ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้นั้นแล
อาโลโก อุทะปาทิ                                             ควรละเสีย
. ตัง โข ปะนิทัง ทุกขสมุทะโย                   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้
อะริยะสัจจังปะหีนันติ เม ภิกขะเว                  เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้น
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธีมเมสุ                          แล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรม
จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ                      ทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้ว ในกาลก่อนว่า ก็ทุกข
ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ                     สมุทัยอริยสัจนี้นั้นแล
อาโลโก อุทะปาทิ                                             อันเราละได้แล้ว
. อิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจันติ               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้
เม ภิกขะเวปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ         เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้น
จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ                      แล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรม
ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ                     ทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า นี้
อาโลโก อุทะปาทิ                                             ทุกขนิโรธอริยสัจ
. ตัง โข ปะนิทัง ทุกขนิโรโธ                        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้
อะริยะสัจจัง สัจฉิกาตัพพันติ เม ภิกขะเว        เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้น
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ  ธัมเมสุ                         แล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรม
จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ                      ทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า ก็
ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ                     ทุกขนิโรธอริยสัจนี้นั้นแล
อาโลโก อุทะปาทิ                                             ควรทำให้แจ้ง
. ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ                    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้
อะริยะสัจจัง สัจฉิกะตันติ เม ภิกขะเว             เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้น
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ                          แล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรม
จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ                      ทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า ก็
ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ                     ทุกขนิโรธอริยสัจนี้นั้นแล
อาโลโก อุทะปาทิ                                             อันเราได้ทำให้แจ้งแล้ว
. อิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา            ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้
อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว                               เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ  ธัมเมสุ                         แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ                      ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้ว
ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ                     ในกาลก่อนว่า นี้
อาโลโก อุทะปาทิ                                             ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ
. ตัง โข ปะนิทัง                                          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้
ทุกขะนิโรธะคามินีปะฏิปะทา                          เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว
อะริยะสัจจัง ภาเวตัพพันติ เม ภิกขะเว           วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว 
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ                          แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้ว แก่เรา ในธรรม
จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ                      ทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า ก็
ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ                     ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้นั้นแล
อาโลโก อุทะปาทิ                                             ควรให้เจริญ
.  ตัง โข ปะนิทัง                                        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้
ทุกขะนิโรธะคามินีปะฏิปะทา                          เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว
อะริยะสัจจัง ภาวิตันติ เม ภิกขะเว                  วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ                          แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้ว แก่เรา ในธรรม
จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ                      ทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า ก็
ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ                     ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้นั้นแล
อาโลโก อุทะปาทิ                                             อันเราเจริญแล้ว
ยาวะกีวัญจะ เม ภิกขะเว                                 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
อิเมสุ จตูสุ อะริยะสัจเจสุ                                 ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงแล้ว
เอวันติปะริวัฏฏัง ทะวาทะสาการัง                  อย่างไร ในอริยสัจ เหล่านี้ของเรา
ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง                              ซึ่งมีรอบ มีอาการ ๑๒ อย่างนี้
นะ สุวิสุทธัง อะโหสิ                                       ยังไม่หมดจดเพียงไดแล้ว
เนวะ ตาวาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก                   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราได้ยินยันตนว่า เป็นผู้ตรัสรู้
โลเก สะมาระเก สะพฺรหฺมะเก                          พร้อมเฉพาะซึ่งปัญญาเครื่องตรัสรู้ชอบ ไม่มีความ
สัสสะมะณะพฺราหฺมณิยา ปะชายะ                  ตรัสรู้อื่นจะยิ่งกว่าในโลก เป็นไปกับด้วยเทพดา มาร
สะเทวะมนุสสายะ อนุตตะรัง                                     พรหม ในหมู่สัตว์ ทั้งสมณพราหมณ์ เทพดา มนุษย์
สัมมาสัมโพธิง อภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง       ไม่ได้เพียงนั้น
ยะโต จะ โข เม ภิกขะเว                                   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เมือใดแล ปัญญาอันรู้เห็นตาม
อิเมสุ จตูสุ อะริยะสัจเจสุ                                 เป็นจริงอย่างไร ในอริยสัจ เหล่านี้
เอวันติปริวัฏฏัง ทะวาทะสาการัง                    ของเราซึ่งมีรอบ อาการ ๑๒ อย่างนี้
ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง สุวิสุทธัง อะโหสิ  หมดจดดีแล้ว
อะถาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก                            เมื่อนั้น เราจึงได้ยืนยันตนว่าเป็นผู้ตรัสรู้พร้อม
โลเก สมาระเก สะพฺรหฺมะเก                            เฉพาะ ซึ่งปัญญาเครื่องตรัสรู้ชอบ  ไม่มีความตรัสรู้
สัสสะมะณะพฺราหฺมะณิยา ปะชายะ                อื่นยิ่งกว่าในโลก เป็นไปกับด้วยเทพดา มาร พรหม
สะเทวะมะนุสสายะ อะนุตตะรัง                     ในหมู่สัตว์ ทั้งสมณพราหมณ์
สัมมาสัมโพธิง อภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง       เทพดา มนุษย์
ญาณัญจะ ปะนะ เม ทัสสะนัง อุทะปาทิ          ก็แล ปัญญาอันรู้เห็นได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
อะกุปปา เม วิมุตติ                                           ว่าความพ้นวิเศษของเราไม่มีกลับกำเริบ
อะยะมันติมา ชาติ                                           ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว
นัตถิทานิ ปุนัพภะโวติ                                    บัดนี้ไม่มีภพอีก
อิทะมะโวจะ ภะคะวา                                      พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสธรรมปริยายนี้แล้ว
อ้ตตะมะนา ปัญจะวัคคิยา ภิกขู                       ภิกษุปัญจวัคคีย์ก็มีใจยินดี
ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุง                                   เพลินภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า
อิมัสมิญจะ ปะนะ เวยยากะระณัสสิง              ก็แล เมื่อเวยยากรณ์ นี้อั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ภัญญะมาเน                                                     อยู่  จักษุในธรรม อันปราศจากธุลี
อายัสมะโต โกณฑัญญัสสะ                             ปราศจากมลทินได้เกิดขึ้นแล้ว
วิระชัง วีตะมะลัง ธัมมะจักขุง อุทะปาทิ          แก่พระผู้มีอายุโกณฑัญญะ
ยังกิญจิ สะมุทะยะธัมมัง                                 ว่าสิ่งใดสิงหนึ่ง มีอันเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งปวง
สัพพันตัง นิโรธัมมันติ                                                นั้น มีอันดับไปเป็นธรรมดา
ปวัตติเต จะ ภะคะวะตา ธัมมะจักเก                ก็ครั้นเมี่อธรรมจักร อันพระผู้มีพระภาคเจ้าให้
ภูมมา เทวา สัททะมนุสสาเวสุง                       เป็นไปแล้ว เหล่าภุมมเทพดา ก็ยังเสียงให้บันลือลั่น
เอตัสภะคะวะตา พาราณะสิยัง                                    ว่านั่นจักร คือธรรม อันพระผู้มีพระภาคเจ้าให้
อิสิปะตะเน มิคะทาเย อะนุตตะรัง                  เป็นไปแล้ว ที่ป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน
ธัมมะจักกัง ปะวัตติตัง                                                ไกล้เมืองพาราณสี
อัปปะฏิวัตติย้ง สะมะเณนะ วา                       อันสมณพราหมณ์
พฺราหฺมเณนะ วา                                              เทพดา มาร พรหม
เทเวนะ วา มาเรนะ วา พูรหฺมุนา วา                และใครๆ ในโลก         
เกนะจิ วา โลกัสมินติ                                       ยังให้เป็นไปไม่ได้ ดังนี้
ภุมมานัง เทวานัง สัททัง สุตวา                       เทพเจ้าเหล่าชั้นจาตุมมหาราช ได้ฟังเสียงของเทพเจ้า
จาตุมมะหาราชิกา เทวา สัททะมนุสสาเวสุง   เหล่าภุมมาเทพดาแล้ว ก็ยังเสียงให้บันลือลั่น
จาตุมมะหาราชิกานัง เทวานัง สัททัง สุตวา    เทพเจ้าเหล่าชั้นดาวดึงส์ ได้ฟังเสียงเทพเจ้าเหล่าชั่น
ตาวติงสา เทวา สัททะมนุสสาเวสุง                 จาตุมมหาราชแล้ว ก็ยังเสียงให้บันลือลั่น
ตาวติงสานัง เทวนัง สัททัง สุตวา                   เทพเจ้าเหล่าชั้นยามะ ได้ฟังเสียงเทพเจ้าเหล่าชั้น
ยามา เทวา สัททะมนุสสาเวสุง                                    ดาวดึงส์แล้ว ก็ยังเสียงให้บันลือลั่น
ยามานัง เทวานัง สัททัง สุตวา                        เทพเจ้าเหล่าชั้นดุสิต ได้ฟังเสียของเทพเจ้าเหล่าชั้น
ตุสิตา เทวา สัททะมนุสสาเวสุง                       ยามะแล้ว ก็ยังเสียงให้บันลือลั่น
ตุสิตานัง เทวานัง สัททัง สุตวา                                   เทพเจ้าเหล่านั้นนิมมานรดี ได้ฟังเสียงของเทพเจ้า
นิมมานะระตี เทวา สัททะมนุสสาเวสุง           เหล่าชั้นดุสิตแล้ว ก็ยังเสียงให้บันลือลั่น
นิมมานะระตีนั้ง เทวานัง สัททัง สุตวา                       เทพเจ้าเหล่าชั้นปรนิมมิตวสวัดดี ได้ฟังเสียงของเทพเจ้า
ปะระนิมมิตะวะสะวัตดี เทวา                                     เหล่าชั้น นิมมานรดีแล้ว ก็ยังเสียงให้บันลือลั่น
สัททะมนุสสาเวสุง                                          เทพเจ้าเหล่าที่เกิดในหมู่พรหม
ปะระนิมมิตะวะสวัตตีนัง เทวานัง                  ได้ฟังเสียงเทพเจ้า
สัททัง สุตวา                                                    เหล่าชั้นปรนิมมิตวสวัดดีแล้ว
พฺพหฺมะกายิกา เทวา สัททะมนสสาเวสุง        ก็ยังเสียงให้บันลือลั่น
เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเน    ว่านั่น จักรคือธรรม ไมมีจักรอื่นสู้ได้ อันพระผู้มี
มิคะทาเย อนุตตะร้ง ธัมมะจักกัง ปะวัตติตัง   พระภาคเจ้าให้เป็นไปแล้ว ทีป่าอิสิปตนะทฤคทายวัน
อัปปะฏิวัตติยัง สะมะเณนะ วา                       ไกล้เมืองพาราณสี อันสมณพราหมณ์
พ์ราหมเณนะ วา                                              เทพดา มารพรหม และใครๆ
เทเวนะ วา มาเรนะ วา พฺรหฺมุนา วา               ในโลกยังให้เป็นไปไม่ได้
เกนะจิ วา         โลกัสมินติ                               ดังนี้
อิติหะ เตนะ ขะเณนะ เคนะ มุหุตเตนะ           โดยขณะครู่เดี่ยวนั้น เสียงขึ้นไปถึงพรหมโลก
ยาวะ พฺรหฺมะโลกา สัทโท อัพภุคคัจฉิ             ด้วยประการฉะนี้
อะยัญจะ ทะสะสะหัสสี โลกะธาตุ                   ทั้งหมื่นโลกธาตุ ได้หวั่นไหว
สังกัมปิ สัมปะกัมปิ สัมปะเวธิ                         สะเทือนสะท้านลั่นไป
อัปปะมาโณ จะ โอฬาโร โอภาโส โลเก                         ทั้งแสงสว่างอันยิ่งไม่มีประมาณ
ปาตุระโหสิ                                                      ได้ปรากฏแล้วในโลก
อะติกกัมเมวะ เทวานัง เทวานุภาวัง                 ล่วงเทวานุภาพ ของเทพดาทั้งหลายเสียหมด
อะถะโข ภะคะวา อุทานัง อุทาเนสิ                  ลำดับนั่นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเปล่งอุทาน
อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญ                        ว่า โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ ผู้เจริญ โกณฑัญญะได้
อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญติ                      รู้แล้วหนอ ผู้เจริญ
อิติหิทัง อายัสมะโต โกณฑัญญัสสะ                เพราะเหตุนั้น นามว่า อัญญาโกณฑัญญะนี้นั่นเทียว
อัญญาโกณฑัญโญเตววะ นามัง อโหสีติ          ได้มีแล้วแก่พระผู้มีอายุโกณฑัญญะด้วยประการฉะนี้แล

ไม่มีความคิดเห็น: